วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555
:) Walt Disney :: The Princess and the Frog
เจ้าหญิงองค์หนึ่ง เดินถือลูกบอลทองคำโยนเล่นมาอย่างเพลิดเพลิน เมื่อเดินมา ใกล้สระน้ำแห่งหนึ่ง ลูกบอลทองคำได้หลุดมือของเจ้าหญิงกลิ้งตรงไปยังสระน้ำ เจ้าหญิง วิ่งไล่ลูกบอลไป แต่ก่อนที่เจ้าหญิงจะฉวยลูกบอลไว้ได้มันก็กลิ้งตกลงไปในน้ำสียงดังป๋อม เจ้าหญิงคุกเข่าลงข้างสระน้ำ และมองลงไป ลูกบอลทองคำจมอยู่ที่ก้นสระ ส่องประกายเหมือนดวงอาทิตย์สีทอง เจ้าหญิงพยายามเอื้อมมือลงไป แต่สระนั้นลึกเกินไปจน เจ้าหญิงงมลงไปไม่ถึงลูกบอล เจ้าหญิงจึงเริ่มต้นร่ำไห้ “เธอร้องไห้ทำไมหรือ เสียงหนึ่งถามออกมา เจ้าหญิงมองไปรอบตัว มีแต่กบตัวเดียวนั่งอยู่บนก้อนหินข้างสระน้ำ “เจ้าพูดหรือ?” เจ้าหญิงถาม “ข้าพูด” กบตอบ เจ้าหญิงจึงเล่า เหตุที่เกิดขึ้นกับลูกบอลของเธอให้กบฟัง “ข้าจะงมลูกบอลมาให้ท่าน ถ้าท่านสัญญากับข้าสามสิ่ง” กบบอก “ท่านต้องให้ข้านั่งบนเก้าอี้ของท่าน ท่านต้องแบ่งอาหารของท่านให้ข้ากิน และท่าน ต้องให้ข้านอนบนเตียงของท่าน” “แน่นอนข้าจะทำตามนั้น ข้าสัญญา” เจ้าหญิงกล่าว “เอาล่ะ ทีนี้เจ้าจะกรุณาเอาลูกบอลมาให้ข้าได้หรือยัง?” เจ้ากบดำลงไปยังก้นบ่อ แล้วนำลูกบอลทองคำกลับมาให้เจ้าหญิง มันไม่ง่ายสำหรับกบเลย เพราะลูกบอลนั้นใหญ่พอ ๆ กับตัวกบทีเดียว เจ้าหญิงรับลูกบอลไปจากกบแล้ววิ่งข้ามสวนจากไป พร้อมกันนั้นเธอได้ลืมสัญญา ที่ให้ไว้ เธอไม่ปล่อยให้กบคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ เช้าวันรุ่งขึ้น ทุก ๆ คนในพระราชวังเตรียมพร้อมสำหรับอาหารเช้า เจ้าหญิงกำลัง โดดเต้นมาตามทางเดิน ซึ่งกบมานั่งรออยู่ “เจ้ามาทำอะไรอยู่ในวังนี่ หือ?” เจ้าหญิงร้อง “ท่านต้องรักษาสัญญาในตอนนี้”กบบอก “จงกลับไปยังสวนที่เจ้าควรจะอยู่” เจ้าหญิงร้อง “ข้าไม่ชอบเจ้า” ว่าแล้วเจ้าหญิงได้วิ่งหนีไปแอบอยู่ด้านหลังของพระราชา “ได้โปรดทำให้เจ้ากบไปให้พ้น ๆ ทีเถิดเพคะ” เจ้าหญิงกล่าว แต่เมื่อพระราชาได้ฟังว่าเจ้าหญิงสัญญาไว้แล้ว พระองค์จึงบอกว่า “สัญญาก็คือสัญญาและจะต้องรักษาสัญญา สัญญากับกบ ก็สำคัญเท่าเทียมกับ สัญญาต่อพระราชา” พระราชาพร้อมด้วยพระธิดาทั้งสามได้นั่งลงเพื่อกินอาหารเช้า กบกระโดดมา ที่ข้างเก้าอี้ของเจ้าหญิงและร้องว่า “ขอให้ข้านั่งข้างท่านได้ไหม?” พระราชาได้ยินเสียงกบและมองจ้องเจ้าหญิง เจ้าหญิงอุ้มกบขึ้นมา “อย่าทิ้งข้าลงไปนะ” กบบอก “อย่าทิ้งกบลงไปนะ” พระราชาสั่ง เจ้าหญิงวางกบลงบนเก้าอี้ข้างตัวเธอ แล้วก็ขยับตัวออกไปห่างกบให้มากที่สุด “ขอให้ข้าร่วมกินอาหารของท่านได้ไหม?” กบถาม เจ้าหญิงยกกบขึ้นบนโต๊ะข้าง ๆ จานอาหารของเธอ กบกินอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย แต่เจ้าหญิงแทบไม่ได้กินอะไรเลย อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้สึกหิวเท่าใดนัก “ข้าเหนื่อยขอให้ข้านอนบนเตียงของท่านได้ไหม?” เจ้าหญิงไม่ตอบ พระราชามองเธอเขม็ง “สัญญาก็คือสัญญา” พระราชาบอก เจ้าหญิงอุ้มกบขึ้นมา เธอยื่นตัวกบให้ห่างตัวออกไป และนำมันไปยังห้องนอน ของเธอ เจ้าหญิงทนไม่ได้ยามเมื่อคิดว่าเจ้ากบจะนั่งบนเตียงของเธอ เธอจึงวางมันลงบน เก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ห่างจากเตียง เธอปิดประตูห้องเพื่อไม่ให้มีใครเห็นสิ่งที่เธอทำ“ข้าจะบอกพระราชาว่าท่านไม่รักษาสัญญา” กบส่งเสียง เจ้าหญิงปล่อยโฮ เธออดกลั้นต่อไปไม่ไหว “ข้าปล่อยให้เจ้านั่งบนเก้าอี้ของข้าแล้ว แบ่งอาหารของข้าให้เจ้าก็แล้ว” เธอร้อง “ข้าต้องให้เจ้านอนบนเตียงของข้าจริง ๆ หรือ” “สัญญาก็คือสัญญา ท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว” กบร้อง เจ้าหญิงคว้ากบขึ้นจากเก้าอี้ และปามันข้ามห้องไปเจ้ากบตกลงบนหมอนนุ่ม สีขาวของเธอ เจ้าหญิงยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้ เธอไม่ได้มองเห็นว่ากบได้กลับกลาย เป็นเจ้าชายองค์หนึ่ง เจ้าชายซับน้ำตาให้เจ้าหญิง“ด้วยการรักษาสัญญาของท่าน ทำให้ข้าหลุดพ้นจากคำสาปของแม่มดชั่วร้าย” เจ้าชายบอก “คราวนี้เราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป" และเป็นไปเช่นนั้น
Credit :: http://www.school.net.th
:) Walt Disney :: Lilo & Stitch
ชีวิตมีความท้าทายรออยู่สำหรับ Lilo เด็กหญิงเหงาๆ ชาวฮาวายที่ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาววัย 19 ชื่อ นานี่ สาวน้อยทั้งสองดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูตนเอง แต่อะไรๆไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนัก เมื่อ คอบร้า บับเบิลส์ นักสังคมสงเคราะห์จอมเครียดแวะมาเยี่ยม เขาก็พบสองสาวพี่น้องกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาจึงเตือน นานี่ ว่าเธอมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 วันเท่านั้นในอันที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะสมแก่การทำหน้าที่ดูแล Lilo ได้ หาไม่แล้วสถานการณ์ในบ้านหลังนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน
เย็นวันนั้น Lilo ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"แต่ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ Stitch สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ การทดลอง 626) ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อจัมบ้าผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึง Stitch ว่าเป็นอะไรที่ กันกระสุน กันไฟและคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก
เย็นวันนั้น Lilo ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"แต่ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ Stitch สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ การทดลอง 626) ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อจัมบ้าผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึง Stitch ว่าเป็นอะไรที่ กันกระสุน กันไฟและคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก
มันมองเห็นได้ในความมืดและยกวัตถุอะไรๆ ที่ใหญ่โตกว่าตัวมันถึง 3 พันเท่าได้ สัญชาตญาณอย่างเดียวของมัน คือ ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลยในสายตาของสมาชิกสภาหญิงแห่งสหพันธ์กาแล็กติค เธอจึงจับจัมบ้าเข้าคุกและพิพากษาให้ส่งตัว Stitch ไปยังดาวเคราะห์น้อยไกลลิบ
แต่ก่อนที่กัปตันแกนทูจะลงมือกำจัด Stitch ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูงหนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่าจะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับ Stitch กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย
แต่ก่อนที่กัปตันแกนทูจะลงมือกำจัด Stitch ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูงหนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่าจะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับ Stitch กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย
ฝ่าย Stitch บังคับยานมาถึงโลก และเคราะห์ร้ายดิ่งเข้าใส่รถบรรทุกน้ำตาลทรายเต็มเปา เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในบ้านดูแลสัตว์หลังหนึ่ง และฉายแววเสน่ห์น่ารักเข้าตาจน Lilo เก็บมันไปเลี้ยง (พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า Stitch ) ทักษะสุดล้ำหน้าทำให้มันสามารถเก็บซ่อนแขนขาพิเศษ (จาก 6 เหลือ 4 ข้าง) เสาอากาศและเดือยบนหลังได้ เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนหมาหน้าตาพิลึกๆ ตัวหนึ่ง
แม้พี่สาวของ Lilo และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรัก Stitch และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่ Stitch เองก็รู้ว่า Lilo กับนานี่มีที่คุ้มภัยให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยงและทำตัวติดหนึบกับครอบครัวใหม่ของมันทันที
แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย Stitch เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อ Lilo พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ Stitch ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้น Lilo ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่างเหมือนฮีโร่ของเธอ คือ เอลวิส เพรสลี่ย์
เดวิด คาเวน่าแฟนเก่าและเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่ง Stitch ก็สามารถเอาชนะอาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา
คอบร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตาจึงบอกกับนานี่ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากแยกตัว Lilo ไปซะ Stitch จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่ากำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า (ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึง แนวคิดเรื่องครอบครัวที่จะไม่มีการทอดทิ้งหรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของ Lilo ก็จางลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อสมาชิกสภาหญิงไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออกเพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตาม Stitch ไปถึงบ้านของ Lilo กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัว Stitch ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง ในช่วงเวลาที่อะไรๆเลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทูก็เดินทางมาพร้อมยานลำยักษ์เพื่อจับตัว Stitch มันหนีไปได้แต่ Lilo กลับถูกจับแทน
แม้พี่สาวของ Lilo และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรัก Stitch และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่ Stitch เองก็รู้ว่า Lilo กับนานี่มีที่คุ้มภัยให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยงและทำตัวติดหนึบกับครอบครัวใหม่ของมันทันที
แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย Stitch เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อ Lilo พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ Stitch ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้น Lilo ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่างเหมือนฮีโร่ของเธอ คือ เอลวิส เพรสลี่ย์
เดวิด คาเวน่าแฟนเก่าและเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่ง Stitch ก็สามารถเอาชนะอาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา
คอบร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตาจึงบอกกับนานี่ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากแยกตัว Lilo ไปซะ Stitch จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่ากำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า (ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึง แนวคิดเรื่องครอบครัวที่จะไม่มีการทอดทิ้งหรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของ Lilo ก็จางลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อสมาชิกสภาหญิงไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออกเพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตาม Stitch ไปถึงบ้านของ Lilo กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัว Stitch ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง ในช่วงเวลาที่อะไรๆเลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทูก็เดินทางมาพร้อมยานลำยักษ์เพื่อจับตัว Stitch มันหนีไปได้แต่ Lilo กลับถูกจับแทน
Stitch ซึ่งตระหนักในที่สุดว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Lilo กับนานี่ จึงเกลี้ยกล่อมจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ให้ร่วมแรงกันช่วย Lilo ออกมา การไล่ล่าอันดุเดือดทั่วเกาะฮาวายจึงเกิดขึ้น Stitch สามารถช่วย Lilo ออกมาได้สำเร็จ ร้อนถึงสมาชิกสภาหญิงต้องตัดสินใจออกมาเป็นผู้ควบคุมตัว Stitch เอง และเกมนี้ดูเหมือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่กฎของเกมก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ใครๆ คาดคิด
Credit :: http://www.sabuyjaishop.com/
:) Walt Disney :: Mulan
ณ กำแพงเมืองจีนมีทหารคนจีนกำลังตรวจตรากำแพงอยู่ในขณะเดียวกันได้พบกับชาวฮั่นกำลังปีนขึ้นมาบนกำแพงเมืองจีน ทหารชาวจีนก็หาทางหนีพวกชาวฮั่นให้ได้แต่ชาวฮั่นได้รุมเขาไว้จนได้เจอกับ ฉาง หยูพร้อมด้วยอินทรีคู่ใจของเขา จนเห็นแล้วจุดไฟส่งสัญญาณไปถึงพระราชวัง จนแม่ทัพรู้เข้าก็เลยไปในวังบอกกับฮ่องเต้ว่า พวกฮั่นขึ้นกำแพงเมืองจีนมาบุกเมืองเราแล้ว ฮ่องเต่รู้ดีว่าชาวฮั่นบุกมา จนเตรียมกองกำลังให้พร้อมที่จะต่อสู้กับชาวฮั่น ต่อมาในบ้านของมู่หลาน ได้เขียนลายเซ็นบนแขนของเธอเพื่อที่จะไม่ลืมตอนที่จะแสดงฝีมือในการอวดโฉมงามในงานของเธอ จนสุนัขของเธอได้คาบกระดูกมาจนพ่อของมู่หลานั้นได้สวดมนต์ภาวะนาในศาลเจ้า เพื่อจะให้คุ้มครองมู่หลานให้เป็นแม่ซื่อในวันนี้ วันหนึ่งสุนัขลากมาพร้อมด้วยถุงเมล็ดข้าว จนไก่เต็มไปหมดในศาลเจ้า จนเขาต้องสวดมนต์อีกครั้ง พอเขาสวดมนต์เสร็จ เขาได้พบกับลูกสาวที่เก็บเป็นความลับเรื่องเขียนลายเว็นที่แขน จนต่อมาในเมืองแม่ของมู่หลานกับยาย เดินทางในเมืองและแล้วยายจึงได้ตัดสินใจเอา จิ้งหรีดที่มีนามว่าคริกครี่ จนยายต้องปิดตาเพื่อฝึกความสามารถของคริกครี่ คุณแม่ของมู่หลานสั่งห้ามไม่ให้ยายเดินไปที่มีอันตรายมากเกินไป จนยายหลบไปได้ทัน จนแม่ของมู่หลานเธอได้เห็นชุดของมู่หลานสกปรกก็เลยแต่งตัวเพื่อรีบไปประกวดโฉมงามประจำปีนี้ เมื่ออาบน้ำและแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ไปต่อคิวตามพวกสาวๆคนอื่นไป จนพบกับอาจารย์ประกวดโฉมงามและเรียกเธอให้ไปเข้าบ้านของอาจาร์ยเพื่อที่จะดูว่าเธอดูดีมาดหรือเปล่าแต่อาจาร์ยบอกว่า ผอมเกินไปนิดไม่เหมาะแก่การเป็นแม่พันธ์ซะเลย มู่หลานกล่าวว่า ขอโทษค่ะ อาจาร์ยพูดอย่างเสียงดังว่า และก็หักสงบปาก จนอาจาร์ยดื่มถ้วยชาแต่มีคริกครี่อยู่ในถ้วย มู่หลานเห็นคริกครี่ตกไปอยู่ในแก้วชา ก็ตัดสินใจเอาถ้วยชาคืน อาจาร์ยก็ไม่ให้ แต่มู่หลานใช้พัดปัดคริกครี่ออกแต่ไปเกิดจุดไฟเข้าของก้นอาจาร์ยทันที จนเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในบ้านของเธอ พออาจาร์ยออกนอกบ้านเพื่อจะหาคนที่มาดับไฟช่วยเธอ จนมู่หลานราดน้ำชาใส่เธอจนเธอต้องลาออกไป ต่อมามู่หลานได้ร้องเพลงที่ไม่ดีเรื่องความไม่สำเร็จนี้ เรื่องหญิงงาม จนพอร้องเสร็จเลยนั่งใกล้เคียงกับต้นไม้ และพ่อของเธอก็มาพูดว่า ปีนี้ดอกท้อบ้านเราบ้านกระทั่งไปทั้งปี ดูนีสิดอกท้อก็ยังไม่บานแต่มั่นใจว่าพอที่จะมันบาน นั่นจะเป็นดอกท้อที่งดงามแต่อย่างใด พูดจบก็ได้ยินเสียงกลองบนหอว่ามีข้าราชการจากสำนักส่งเอกสารเพื่อจะไปรบ มู่หลานจึงกลัวและเป็นห่วงพ่อมากถ้าคิดว่าพ่อของเธอจะตายตอนที่โดนรบ และมู่หลานก็สั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับพ่อแต่ฉิง ฟู ควางไว้ ว่าเจ้าต้องเห็นแก่บุรุษซะบ้าง ต่อมาพ่อของเธอได้ไปที่ห้องเสื้อผ้าเพื่อเตรียมรบและเขาก็หยิบดาบเพื่อจะฝึกการรบจนเขาปวดหลัง และเขาก็หยิบเอกสารจากสำนักอยู่ในมือของเขา จนวันหนึ่งครอบครัวตระกูลฮัวกำลังทนข้าวกันอยู่มู่หลานเริ่มรู้สึกเริ่มอารมด์ไม่ดีเรื่องพ่อของเธอจะตายในการรบครั้งนี้ ก็เลยใช้แกวทุบโตะเสียงดัง และสั่งไม่ให่พ่อไปรบกัน พ่อจึงไม่สนใจเพื่อจะรบในการช่วยเหลือประเทสจีนให้อยู่รอดเนื้อมือของพวกฮั่นที่จะมาโจมตีในครั้งนี้ มู่หลานเริ่มรู้สึกเสียใจมาก เธออกจากบ้านนั่งร้องไห้และหาทางคิดว่าจะทำยังไงดีเพื่อจะไม่ให้พ่อของเธอออกไปรบ มู่หลานตัดสินใจงโขมยชุดเกราะของเขาไปพร้อมด้วยคาน ม้าศึกคู่ใจของมู่หลาน และมู่หลานก็หนีออกจากบ้านไป และยายก็ตกใจตื่นขึ้นมาไม่เห็นมีมู่หลานเลย จึงบอกพ่อกับแม่ว่า มู่หลานหนีไปแล้ว เขาได้ไปที่ห้องแต่ชุดเกราะที่อยู่มันหายไปแล้ว จนเขาวิตกกังวลว่าลูกจะตายไป เขาและภรรยาจึงออกนอกบ้านท่ามกลางสายฝน ทั้งคู่ก็เสียใจมากคิดว่าจะสียลูกสาวไป จนยายต้องอ้อนวอนว่าขอให้บรรชนฮัวปกป้องคุ้มครองมู่หลานด้วยเถิด และในศาลเจ้าเริ่มปรากฏตัวหัวหน้าวิญญาณและเขาปลุกมูชูมังกรสีแดงออกมา และเขาได้ปลุกพวกวิญญาณทั้งหมดจนมีเหตุเรื่องมู่หลานของไปรบจนบรรดาเหล่าวิญญาณพูดคุยกัน จนหัวหน้าได้ไปเจอกับมังกรหินอยู่ข้างนอกและจะให้ปลุกมันตื่นขึ้น มูชูก็ไปช่วยปลุกแต่มังกรไม่ยอมตื่น จึงต้องตีหัวเพื่อจะตื่นอีกทีจนรูปปั้นก็หักพังลง จนมูชูเสียดายมากตอนที่รูปปั้นนั้นพังยับเยินหมด จนเขาได้พบกับคริกครี่ได้พามูชูไปหามู่หลาน ขณะนั้นมู่หลานกำลังฝึกอยู่ในป่าไผ่พร้อมคาน แต่เธอได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น จนมู่หลานและคานต้องหลบหนีไปในก้อนหิน พอพูดเสร็จก็ปรากฏโฉมหน้าที่มู่หลานไม่รู้จัก เขาแนะนำชื่อของเขาจนเสร็จแล้ว ทั้งหมดได้เข้าค่ายทหารรบของชาวจีน จนมู่หลานได้พบกับชายแปลกๆบ้าง แต่มู่หลานได้เห็นคนสักยันตร์มังกรในค่ายจนเหยาได้ทุบหน้าอกจนสลบไป จนก่อกวนไปทั่วค่าย ในค่ายของฉางและแม่ทัพได้ตรวจดูการบุกรุกชาวฮั่นที่พร้อมจะโจมตี และแม่ทัพได้ออกไปต่อสู้กับชาวฮั่นไป ฉางได้เห็นคนทะเลาะกันว่ามีอะไรผิดปกติ พวกทหารชี้ศัตรูที่มาก่อกวนในค่ายนี้ ฉางได้ไปหาทหารแปลกหน้า และสั่งไม่ให้บุกรุกก่อกวนในค่ายนี้ ฉางบอกชื่อแต่มุชูตัดสินใจเป็น ผิง และฉางได้ยิงธนูถูกเสาที่สูงมาก ต้องพยายามเก็บมาให้ได้ วันหนึ่งมู่หลานได้ออกฝึกในค่ายและนอกค่าย มู่หลานพยายามฝึกวิชาในค่ายทหารอย่างเต็มที่ พอตกกลางคืนมู่หลานตั้งใจที่จะเก็บลูกธนูมาให้ได้ และได้เก็บลูกธนูไป ต่อมาฉางหยูกับลูกสมุนของเขา ได้เตรียมกองกำลังเอาไว้ ฉาง หยู ได้พบกับตุ๊กตา
พูดว่ากำลังจะไปคนเธอ และมู่หลานก็อาบน้ำ ได้พบกับ หลิน เฉียน โป และ เหยา ลงมาเล่นน้ำด้วย หลินได้แกล้งทหารแปลกหน้า มู่หลานก็ขึ้นไปจากฝั่ง ได้มีทหารต่างๆวิ่งไปหมดที่จะเล่นน้ำด้วยกัน มูชู กับ คริกครี่ได้เขียนจดหมายเรื่องทัพสงคราม ให้กับ ฉี ฟู เขารู้ว่าจะเตรียมให้พร้อมพรุ่งนี้ มู่หลาน มู่ชูและครอครี่ พร้อมด้วยทหารต่าง ฉาง และ ฉี ฟู ออกเดินทางไป จนได้พบกับหมู่บ้านที่ถูกไฟเผาหมด ฉางกังวลว่าพ่อเขาอยู่หรือเปล่าฉี ฟู เรียก ฉางให้มาดู แต่เขาเห็นทหารตายอยู่ข้างล่าง เฉียน โป ได้เอาหมวกพ่อ ฉาง ได้เอาดาบปักพร้อมด้วยหมวกของพ่อ เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป และแล้วสิ่งไม่ดีก็เกิดขึ้นมาคือกองทัพชาวฮั่นที่ยิงธนูใส่พวกทหาร พรรคพวกก็หลบหนีตั้งแผน พร้อมยิงปืนใหญ่ ยิงใส่ พอสักพัก ได้เห็นฉาง หยูกับม้าศึก พร้อมลูกสมุนจำนวนมาก ฉาง หยู พร้อมเตรียมโจมตีข้างหน้า มู่หลานเอาปืนใหญ่เพื่อยิงใส่ภูเขาลูกโน้น แต่มูชูติดอยู่ จนระเบิดใส่พวกกองทัพฮั่น ฉาง หยู โกรธมากที่ทำกับลูกสมุนของเขาตาย ฉาง หยูใช้ดาบใสที่ท้องเธอ นายกองฉางได้ช่วยชีวิตเธอ ได้หนีไปหิมะกำลังถล่ม พอหิมะหยุดถล่มสักพัก เธอได้รับบาดเจ็บ ตอนที่เธออยู่ที่เต้นท์พยาบาล ฉาง ได้เข้าไปดูว่าเธอตื่นขึ้นมาเห็นว่ามรที่ปิดหน้าอกไว้ และฉี ฟู รู้เข้าเห็นว่าไม่เป็นทหารแปลกหน้าผู้ชายแต่เป็นผู้หญิง ฉี ฟู สั่งให้ฉาง หยูเอาดาบเพื่อที่จะฆ่าเธอ มูชู คริกครี่ และ ทหารก็คิดว่าไม่น่าจะฆ่าเธอเลย เพื่อที่จะช่วยเธอ จนฉี ฟู ห้ามไว้ฉางจึงตัดสินใจไม่ฆ่าเธอ ฉาง ก็สั่งพวกทหารออกเดินทางไปวังหลวง ไปที่ฮั่นฉาง หยูก็เห็นศัตรูถูกถลบ่มหิมะตายไปหมด ฉาง หยู เริ่มโกรธและโมโหมากจนร้องเสียงดังไปทั่ว และทหารของเขาได้ยินก็โผล่ออกมา พร้อมจะตะลุยไปวังหลวงเช่นกัน มู่หลานคิดว่าจะฆ่าฮ่องเต้เช่นกัน จึงเอาคานม้าคู่ใจของเธอ และไปวังหลวงทันที ในเมืองมีเทศกาลจีนขบวนแห่ มู่หลานบอกกับฉางว่า พวกกองทัพฮั่นจะบุกโจมตีวัง ฉางก็ไม่สนใจที่เธอพูดเลย และไม่เชื่อเธอ กองทัพทหารซ่อนเป็นนักแสดงเชิดสิงโต พอไปถึงวังหลวง ฉาง หยูมอบดาบของพ่อ พอมอบดาบอินทรีได้โขมยให้ฉาง หยู และลูกสมุนได้จับตัวฮ่องเต้ไปเข้าวัง พวกทหารได้เอารูปปั้นสิงโตเพื่อเปิดประตู การเปิดประตูใช้ไม่ได้ผลเพราะถูกล็อกเอาไว้ มู่หลานได้แผนแล้วเรียก หลิน เฉียน โป และ เหยา ได้แต่งตัวเป็นผู้หญิงที่จะหลอกล่อชาวฮั่น แต่มีนายกองฉางมาด้วย และได้ปีนเสาขึ้นวังเพื่อจะช่วยฮ่องเต้ ทั้งหมดรีบจัดการกับพวกชาวฮั่นจนสลบไป ฉางได้ต่อสู้กับ ฉาง หยู แต่ไม่ได้ผล เฉียน โป ช่วยฮ่องเต้ออกข้างนอกวัง ฉาง หยู กับ มู่หลานได้ต่อสู้กัน มูชุเอาจรวดระเบิดพรุจน ฉาง หยูติดไว้ และแล้วฉางหยูถูกระเบิดตาย ฮ่องเต้ก็ก็พูดกับลูหลานว่า ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามากฮัวนา มู่หลาน เจ้าโขมยชุดเกราะของพ่อและหนีออกจากบ้าน และแฝงตัวเป็นทหารหลอกให้นายกองหลวงเชื่อ ทำความเสื่อมแก่กองทัพจีนทำลายพระราชวังของข้าและเจ้าได้ช่วยชีวิตพวกเราทุกคน พูดจบฮ่องเต้ได้คำนัพมู่หลานที่เป็นวีรสตรีแห่งประเทศจีนนี้ ทุกคนก็เหมือนกัน เสร็จแล้วฮ่องเต้ได้มอบดาบให้แก่เธอ พร้อมด้วย สร้อยคอ พอเสร็จแล้วก็กลับไปบ้าน พ่อของเธอได้เห็นว่าเธอยังไม่ตายยังอยู่รอด พอศึกสงครามชาวฮั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอสักพักนายกอง ฉางได้เอาหมวกของพ่อมู่หลาน มูชูเตรียมจัดงานฉลองในศาลเจ้าอยู่กันอย่างมีสุขตลอดไป
Credit :: http://th.wikipedia.org/
:) Walt Disney :: The Many Adventures of Winnie the Pooh
หมีพูห์ เป็นหมีตัวน้อยที่ช่างคิด มันชอบนั่งใต้ต้นไม้แล้วก็ คิด ต้นไม้ที่มันชอบนั่งชื่อ มิสเตอร์ แซนเดอร์ มันชอบคิดว่า ควรจะทำอะไรดีน๊า ในที่สุดมันก็จะคิดว่า บรรยากาศอย่างนี้น่าเป็นเวลากิน น้ำผึ้ง แล้ว พูห์ มักจะกังวลใจในเรื่อง น้ำผึ้ง ดังนั้น มันจึงกิน น้ำผึ้ง เป็นอาหารเช้า อาหารเที่ยง แล้วก็อาหารเย็น วินนี่เดอะพูห์ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของ คริสโตเฟอร์ โรบิน วินนี่เดอะพูห์ มีเพื่อนจำนวนมาก เช่น พิกเล็ต, ทิกเกอร์, และ แรบบิต เป็นต้น
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทหารจากเมืองวินนิเพก ( Winnipeg ) มานิโทบา ( Manitoba ) ของแคนาดา ซึ่งกำลังเดินทางไปยังภาคตะวันออกของประเทศ เพื่อเดินทางต่อไปยังยุโรป สมทบกับกองพลทหารราบของแคนาดาที่ประจำการอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่ขบวนรถไฟขนทหารแวะพักที่แม่น้ำไวท์ ( White River ) รัฐออนทาริโอ ร้อยเอก แฮรี่ โคลเบิร์น ได้ซื้อ ลูกหมี ตัวเมียสีดำในราคา 20 ดอลล่าห์ จากนายพรานซึ่งฆ่าแม่ของมันไปก่อนหน้านี้ และตั้งชื่อของมันว่า วินนิเพก ตามชื่อบ้านเกิดของเขา และเรียกชื่อมันสั้น ๆ ว่า วินนี่ (Winnie)
วินนี่ กลายเป็น สัตว์เลี้ยงนำโชค ของกองพลทหาร และถูกนำไปยังอังกฤษพร้อมกับร้อยเอก แฮรี่ โคลเบิร์น เมื่อกองพลได้รับคำสั่งให้ไปประจำสนามรบที่ฝรั่งเศส ผู้กอง โคลเบิร์น จึงนำ วินนี่ ไปฝากไว้กับ สวนสัตว์ ในกรุง ลอนดอน เป็นการชั่วคราว (ภายหลังได้ยกให้กับสวนสัตว์เป็นการถาวร) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 1919 และเป็นที่สนใจของเด็ก ๆ ในกรุงลอนดอนเป็นอันมาก มันมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงปี 1934
ตุ๊กตา ของ คริสโตเฟอร์ โรบิน ที่มาของตัวละครในเรื่อง วินนี่เดอะพูห์ ลูกหมี ตัวนี้เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของเด็ก ๆ ในกรุงลอนดอน รวมทั้ง คริสโตเฟอร์ โรบิน ลูกชายของ เอ.เอ.ไมล์น คริสโตเฟอร์ โรบิน มักจะมาหามันเป็นประจำ และเขาได้รับแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อ ตุ๊กตา เท็ดดี้แบร์ ของเขาว่า วินนี่ หรือ วินนี่เดอะพูห์ – Winnie the Pooh (ในตอนแรก ตุ๊กตาหมี ของ คริสโตเฟอร์ โรบิน ชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด) ส่วนชื่อ พูห์ มาจากชื่อของ หงส์ ที่อยู่ในบทกวีของ ไมล์น ที่เล่าเรื่องตอนที่เขาเป็นเด็ก พูห์ ใต้ต้นมิสเตอร์แซนเดอร์เอ.เอ.ไมล์น เขียนนิทานเกี่ยวกับ วินนี่เดอะพูห์ และลูกชายของเขาที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ โรบิน และเพื่อนของเขาในป่า 100 เอเคอร์ โดยใช้ตัวละครจาก ตุ๊กตา ของลูกชาย ได้แก่ อียอร์, พิกเล็ต, ทิกเกอร์, แก็งกา และ รู ส่วน ริบบิต และ เอาล์ ก็มาจากสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม เช่นเดียวกับ หงส์ ที่ชื่อว่า พูห์ ที่บ้านเกิดในชนบทของเขาในฟาร์ม คอตช์ฟอร์ด ในป่า แอชดาวน์, เมืองซัสเซ็กซ์ ที่มีเนื้อที่ 100 เอเคอร์ ได้เวลาของน้ำผึ้งอีกแล้ว หนังสือเรื่อง วินนี่เดอะพูห์ ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ Methuen เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 1926, บทกวีเรื่อง Now We are Six ตีพิมพ์ในปี 1927 และเรื่อง The House at Pooh Corner ในปี 1928 หนังสือทั้งสามเรื่องนี้ วาดภาพประกอบโดย อี.เอช. ชีพาร์ด ซึ่งทำให้หนังสือมีชีวิตชีวาและสวยงามเป็นอย่างมาก หนังสือเรื่องของ พูห์ ได้รับความนิยมทั้งจากคนวัยเด็ก หนุ่มสาว และผู้สูงอายุ และถูกแปลออกไปเป็นภาษาต่าง ๆ เกือบจะทุกภาษา ตัวเลขยอดขายเฉพาะที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Methuen สำนักพิมพ์เดียว จนถึงปี 1996 มีมากกว่า 20 ล้านเล่ม ยังไม่รวมฉบับที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Dutton ในแคนาดา และสหรัฐ หรือภาษาอื่น ๆ มากกว่า 25 ภาษาในโลก
หนังสือชุดของ พูห์ ยังเป็นชื่นชอบของลูกสาว วอลท์ ดิสนีย์ ราชาภาพยนตร์การ์ตูน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ วอล์ท ดิสนีย์ นำเรื่องของ พูห์ มาสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนในปี 1966. ปี 1977 ดิสนีย์นำเอาภาพยนตร์การ์ตูนขนาดยาวเรื่อง การผจญภัยหลายครั้งของวินนี่เดอะพูห์ (the Many Adventures of Winnie the Pooh) เป็นครั้งแรก. ปี 1993 บริษัท วอล์ทดิสนีย์ ยอมรับว่า หมีพูห์ เป็นเพียงตัวละครตัวเดียวที่แฟน ๆ นับล้านคนทั่วโลกหลงรัก นอกเหนือจาก มิกกี้เมาส์ ในปี 1996 หลังจากภาพยนต์การ์ตูน วินนี่เดอะพูห์ เรื่องที่สองออกมา เจ้าหมีสมองน้อย ๆ ตัวนี้ก็ได้รับการยอมรับว่ามันได้รับความนิยมมากว่าตัวละครใด ๆ ของ วอล์ทดิสนีย์ ปี 1997 สามปีหลังจากภาพยนต์เรื่อง การผจญภัยหลายครั้งของวินนี่เดอะพูห์ ออกฉาย ดิสนีย์ ก็ได้ฉายภาพยนต์การ์ตูนเรื่อง Pooh's Grand Adventure หรือ การผจญภัยครั้งใหญ่ของพูห์ ซึ่งถือว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซของ วอล์ทดิสนีย์ อีกชิ้นหนึ่ง

อะนั่นแน่อย่าลืมเพื่อนๆของพูห์สิ

Tigger
Tigger เสือที่ใช้หางของตัวเองกระโดดไปไหนมาไหนได้เหมือนกับสปริง ในตัวของ Tigger เต็มไปด้วยความสนุกสนานอย่างที่สุด เขามักจะแชร์ความสนุกกับเพื่อนของเขาเสมอ แต่ยกเว้นกับ Rabbit ที่เขาไม่ค่อยอยากจะสนุกด้วย Tigger เป็นเสือที่ชอบใช้คำพูดที่ผิดๆโอ้อวดพูดอะไรเกินจริง เป็นตัวป่วนที่สุดในหมู่เพื่อนชอบทำตัวเป็นผู้รู้และชอบเป็นนักสืบ
Piglet
พิกเลต เป็นหมูสีชมพูตัวเล็ก ( ถ้าไม่บอกก็คงไม้รู้ว่าเป็นหมู ) อาจเป็นเพราะว่ามันตัวเล็ก มันจึงขี้ขลาด ขี้กลัว แต่มันจะอุ่นใจและมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อมีพูห์มาอยู่ใกล้ๆ อย่างตอนนี้ พิกเลตเจอะเฮฟฟาลัมป์ วันหนึ่งคริสโตเฟอร์ โรบิน กับวินนี่เดอะพูห์ กับพิกเลตกำลังคุยกัน และนั่งกินอะไรซักอย่างด้วยกัน กลางป่า 100 เอเคอร์อยู่ คริสโตเฟอร์ โรบินอวดว่าวันนี้ได้เจอเฮฟฟาลัมป์ตัวหนึ่ง ส่วนพูห์และพิกเลตก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเคยเจอหรือเปล่าเพราะไม่รู้ว่าเฮฟฟาลัมป์เนี่ยหน้าตามันเป็นยังไง ระหว่างทางกลับบ้านพูห์กับพิกเลตวางแผนจะจับเฮฟฟาลัมป์กัน โดยพิกเลตเป็นขุดหลุมทำกับดัก แล้วพูห์ก็จะหาอะไรซักอย่างมาล่อ มันจึงกลับบ้านแล้วไปค้นอะไรบางอย่างในตู้ มันตกลงใจเอาน้ำผึ้งสักโถหนึ่ง...แล้วมันก็เดินตุ้บตั้บหอบโถน้ำผึ้งไปหาพิกเลต พิกเลตขุดหลุมซะลึกเชียว... หลังจากวางกับดักเสร็จ พูห์กับพิกเลตก็กลับไปนอน แต่พูห์ก็นอนไม่หลับซักที นับแกะก็แล้ว แต่เฮฟฟาลัมป์ก็โผล่มาทุกที พูห์ทนไม่ได้ต้องหาอะไรใส่ท้องซักหน่อยเผื่อมันจะนอนหลับสบายก็ได้ เฮ้! ก็โถน้ำผึ้งของพูห์อยู่ในหลุมเฮฟฟาลัมป์ พูห์ตามความหิวไปที่หลุมดัก มันกินไปอย่างเอร็ดอร่อย เลียจนถึงก้นโถ โอ๊ะ! มันเอาหัวยัดเข้าไปในโถแล้ว...แล้วดึงออกไม่ได้ พิกเลตตกใจตื่นขึ้นมาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ พอไปถึงที่ปากหลุมมันยิ่งแน่ใจว่าเป็นเฮฟฟาลัมป์แน่นอน พิกเลตจึงบึ่งไปหาคริสโตเฟอร์ โรบิน คริสโตเฟอร์ โรบินผู้มีสติดีที่สุดก็เป็นผู้เฉลยและช่วย เจ้าเฮฟฟาลัมป์ตัวนั้นออกมา.
อียอร์ ลาแก่สีเทามักยืนอยุ่ตามลำพัง ที่ใต้ต้นไม้ข้างลำธารแล้วมันก็คิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยๆ วันหนึ่งพูห์เดินแวะมาทักทายมัน เอ๊ะ! พูห์แปลกใจ...เกิดอะไรขึ้นกับหางของอียอร์ หางอียอร์หายไปไหน อียอร์หมุนดุรอบตัวท่าทางหางมันจะไม่อยู่จริงๆ ด้วย ทำไงดีล่ะ พูห์จึงตกลงใจจะหาหางให้อียอร์เอง พูห์เริ่มจากไปปรึกษาอาวล์ ที่หน้าประตูบ้านอาวล์มีทั้งที่เคาะประตูและสายกระดิ่งให้ดึง ใต้ที่เคาะประตูมีข้อความว่า "กะรุณาดึงกะดิ่งถ้าต้องการให้มาเปออิด" และะที่ใต้สายกระดิ่งมีข้อความเขียนว่า "กะรุนาเคะาถ้าไม่ต้องการให้มาเปอด" ซึ่งผู้เขียนป้ายนั้นก็คือ คริสโตเฟอร์ โรบิน พูห์อ่านข้อความอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วมันก็ตัดสินใจทั้งดึงและเคาะพร้อมกับตะโกนด้วย มันปรึกษากับอาวล์เล็กน้อยถึงวิธีการหาหางของอียอร์ แล้วมันก็คิดว่าถึงเวลาหม่ำอะไรเล็กๆ น้อยๆ อาวล์อวดที่เคาะประตูอันใหม่ มันเล่าว่ามันได้มาจากที่พุ่มไม้ในป่า ดุเหมือนจะไมมีใครต้องการมัน แต่พูห์ว่ามันคุ้นๆ อยู่นะ เอ...มีคนต้องการมันด้วย มันคือหางของอียอร์ไง หลังจากคริสโตเฟอร์ โรบินตอกตะปูติดหางอียอร์กลับเข้าที่เดิม อียอร์ดีใจกระโดดโลดเต้นไปทั่วป่า และหลังจากพูห์ หาอะไรหม่ำเล็กๆ น้อยๆ แล้วมันก็ร้องเพลงเป็นทำนองที่ว่ามันหาหางอียอร์เจอ
Credit :: http://www.galaxzydvd.com/
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555
:) Walt Disney :: The Jungle Book
เมาคลี ลูกหมาป่า
หากจะกล่าวถึงเรื่องราวของเด็กทารกที่ถูกเลี้ยงดูและมีชีวิตเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสัตว์ป่า สำหรับผู้ที่เคยเรียนวิชา ลูกเสือ มาคงสามารถตอบได้เป็นเสียงเดียวกันว่า เมาคลี ลูกหมาป่า ไงทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า เมาคลี เป็นเรื่องจริง ทว่า เมาคลี ลูกหมาป่าเป็น เรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมอมตะที่ถ่ายทอดมาจากปลายปากกาของ รัดยาร์ด คิปลิ่ง โดยต้นฉบับหนังสือมีชื่อว่า The Jungle Book
กระนั้น หลายคนคงสงสัยว่าแล้ว เมาคลี ลูกหมาป่า เกี่ยวอะไรกับกิจการของ ลูกเสือ ทำไมเราจึงต้องให้คำมั่นสัญญากับ อาเคล่า ทำไมเราต้องร้องเพลงต่างๆเกี่ยวกับ เมาคลี ทำไมเราต้องเรียนรู้เรื่องราวของ เมาคลีสำหรับการนำเรื่องราวของ เมาคลี มาผูกกับกิจการลูกเสือนั้น มีแต่เฉพาะใน ลูกเสือสำรอง(ป.1-ป.3) เท่านั้น ซึ่งก็น่าจะมาจากการที่เมาคลี ลูกหมาป่า มีเนื้อเรื่องที่สนุกสนานน่าติดตาม สร้างจินตนาการ ให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ สัตว์ และ ป่าแก่เด็กๆได้อย่างดี อีกทั้งงยังมีจริยธรรมและคติแฝงอยู่มากมาย ด้วยเหตุนี้ เมาคลี ลูกหมาป่า จึงกลายเป็นเหมือนประตูแห่งการเรียนรู้ด่านแรก ของลูกเสือทุกๆคน เพื่อที่จะได้เลื่อนขั้นไปสู่การเป็นลูกเสือสามัญว่าแล้วก็ขอพาทุกท่านกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง กับเรื่องราวของเด็กผู้ชายที่สามารถก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งของสายพันธุ์แห่งชีวิตและดำรงชีวิตอยู่กับสัตว์ต่างๆนานาได้ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่แถว เทือกเขาซิโอเนีย ในประเทศอินเดีย วันหนึ่ง สามีภรรยาคู่นี้เข้าไปตัดฟืนในป่าโดยพาลูกน้อยไปด้วย พอถึงกลางคืนก็ก่อไฟขึ้น ตกดึกมีเสือโคร่งชื่อ "แชร์คาน" หรือ "อ้ายขาเก" ผ่านมาพบเข้า เสือโคร่งจึงกระโดดตะครุบใส่แต่พลาดตกลงไปในกองไฟ จึงร้องด้วยความเจ็บปวดและวิ่งหนีไป ส่วนสองสามีภรรยาก็ตกใจวิ่งหนีไปเช่นกันจึงทิ้งเผลอทิ้งลูกน้อยไว้ในป่าคนเดียว เด็กน้อยเดินเตาะแตะเข้าไปในป่าลึก บาเกียร่า เสือดำมาพบเข้าเกรงว่าเด็กน้อยจะถูกเจ้า แชร์คาน ตามมาจับกิน จึงนำเด็กชายมาฝากไว้ในถ้ำของหมาป่าครอบครัวหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่และลูก 4 ตัว อยู่กันเป็นครอบครัว แม่หมาป่ารีบให้นมแก่เด็กที่เป็นลูกของมนุษย์ด้วยความรักและเลี้ยงดูรวมกับลูกของตนเองราวกับว่าเด็กชายเป็นลูกแท้ๆของนาง พ่อหมาป่าตั้งชื่อให้เด็กคนนั้นว่า เมาคลี ซึ่งแปลว่าลูกกบ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีขนเช่นเดียวกับลูกกบตัวน้อยๆเมื่อเมาคลีโตพอรู้ความได้แล้ว ตามกฏของป่าเมื่อหมาป่าครอบครัวใดมีสมาชิกเพิ่มขึ้น จะต้องได้รับการรับรองจากสมาชิกของฝูงหมาป่าก่อน
ดังนั้น ในคืนวันเพ็ญ ณ ผาประชุม อาเคล่า หมาป่าแก่ขนสีเทา นั่งอยู่บนโขดหิน เพื่อเป็นประธานในการรับรองสมาชิกใหม่ของฝูง วิธีการรับองสมาชิก หมาป่าจะนั่งเป็นวงกลม แล้วให้สมาชิกใหม่เข้าไปอยู่ภายในวงกลม จากนั้น หมาป่าก็จะเข้าไปดมกลิ่นและพิจารณารับรอง ซึ่งรวมทั้ง เมาคลี ด้วย ในขณะที่สมาชิกหมาป่าพิจารณานั้น อาเคล่า จะร้องเตือนว่า “ จงดูให้ดี จงดูให้ดี พวกเรารู้กฎแล้ว “
สำหรับเมาคลี มีหมาป่ากลุ่มหนี่งไม่รับรอง แต่กฎของป่ากำหนดว่า ในกรณีที่มีความขัดแย้งกัน จะต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 2 ตัวที่ไม่ใช่พ่อแม่ของลูกหมาป่าให้คำรับรองได้ จึงจะมีสิทธิเข้าอยู่ในฝูง
สำหรับเมาคลี มีหมาป่ากลุ่มหนี่งไม่รับรอง แต่กฎของป่ากำหนดว่า ในกรณีที่มีความขัดแย้งกัน จะต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 2 ตัวที่ไม่ใช่พ่อแม่ของลูกหมาป่าให้คำรับรองได้ จึงจะมีสิทธิเข้าอยู่ในฝูง
เหตุการณ์ ณ ผาประชุม กำลังตึงเครียด พ่อและแม่หมาป่าเตรียมพร้อมที่จะป้องกันเมาคลีไม่ให้ถูกทำร้าย ทันใดนั้น บาลู หมีเฒ่าที่เป็นครูสอนกฎของป่าให้แก่ฝูงหมาป่าก็ให้การรับรอง พร้อมทั้ง บาเกียร่า เสือดำที่กล้าหาญอีกด้วย เมาคลึจึงได้เข้าเป็นสมาชิกของฝูงหมาป่า
อาเคล่า จ่าฝูงอาวุโสจึงให้เมาคลีได้รับการเรียนรู้กฎของป่าจาก บาลู ส่วน บาเกียร่า ได้สอนวิธีการล่าสัตว์ให้แก่เมาคลีตลอดมาเมาคลี เติบโตขึ้น เป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายกำยำแข็งแรง แม้ว่ามติของฝูงจะยอมรับเขา แต่ด้วยสายพันธุ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ เมาคลี ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพิสูจน์ตัวเองกับสมาชิกตัวอื่นๆในฝูง เขาและพรรคพวก สามารถบุกทลายปราสาทร้างที่เป็นรังของฝูงลิงนิสัยไม่ดีได้สำเร็จ ไม่นานหลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่เขาต้องชำระหนี้แค้นให้กับพ่อแม่ ที่เข้าใจว่าถูก แชร์คาน เสือโคร่งคู่ปรับที่คอยราวีตลอดมาฆ่าตาย ซึ่งบัดนี้ แชร์คานได้กลายเป็นเสือเฒ่าเจ้าเลห์ แต่ก็ยังคงความน่ากลัวอยู่ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ฝูงหมาป่าต้องสูญเสียผู้เฒ่าขนสีเงิน อาเคร่า ผู้ดำรงตำแหน่งจ่าฝูงมายาวนานไป ทว่า เมาคลีก็สามารถฆ่าแชร์คานได้ และถลกหนังมันมาประดับบนบัลลังก์จ่าฝูง ซึ่งสมาชิกในฝูงต่างเห็นชอบให้ เมาคลี เป็นจ่าฝูงตัวต่อไปอย่างไรก็ตาม เมาคลี ไม่ได้อยู่ในป่าตลอดไป วันหนึ่งเขาได้พบกับหญิงสาวที่แม่นํ้า หญิงที่เป็นมนุษย์เหมือนเขา เมาคลี เริ่มมีคำถามมากมาย ความรู้สึกแปลกแยกกลับมาอีกครั้ง เมื่อเจอมนุษย์ที่เดินสองขาเหมือนกันอนึ่ง ในขณะนั้น มนุษย์เริ่มรุกลํ้าเข้ามาในป่ามากขึ้น หลายครั้งที่เมาคลีไม่สามารถปกป้องฝูงของเขาจากอาวุธที่เรียกว่า ปืน ได้ไม่นานนัก ทุกตัวลงความเห็นว่า หากมีเมาคลีอยู่ในฝูงจะเป็นเป้าของพวกนายพราน ซึ่งก็อันตรายต่อทั้งตัวเมาคลีเองและฝูง บาลูและบาเกียร่าเข้าใจข้อนี้ดี จึงโน้มน้าวให้ เมาคลี ออกจากป่าไปเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างถูกครรลองในเผ่าพันธุ์ของตนเองแรกเริ่มที่เข้าไปในหมู่บ้าน เมาคลี กลายเป็นตัวประหลาดสำหรับทุกคน เขาต้องพยายามอย่างมากในการปรับตัว ทั้งการเรียนภาษา มารยาทในสังคม การใช้ชีวิตประจำวัน ฯ หลายครั้งที่เขาท้อและคิดจะกลับเข้าไปในป่าแล้วไม่ออกมาอีก แต่บาลู บาเกียร่า ครอบครัวหมาป่าและสมาชิกในฝูงทุกคนต่างก็คอยให้กำลังใจในที่สุดเมาคลีก็สามารถชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขในหมู่บ้านเล็กๆอันเงียบสงบ ถ้าหากจะถามเมาคลีว่า สัตว์อะไรที่น่ากลัวที่สุด คงไม่ใช่ เสือโคร่ง ลิง หมาป่า หมี ฯ
แต่คำตอบที่ได้คงเป็น มนุษย์
Credit :: http://banyen6069.blogspot.com/
:) Walt Disney :: Sleeping Beauty
ภาค 1
ในงานเฉลิมฉลองการประสูติของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง มีนางฟ้าหลายตนเสก ความงาม ปัญญา และ ความสามารถในดนตรี มอบให้เป็นของขวัญวันประสูติของเจ้าหญิง แต่เมื่อนางฟ้าทั้งหลายเสกให้พรเจ้าหญิงเสร็จสรรพ นางฟ้าใจร้ายผู้ที่โกรธแค้นที่ตนไม่ได้การรับเชิญก็โผล่มาในงาน และด้วยความแค้นอาฆาต นางจึงเสกคำสาปให้เป็นของขวัญประสูติ คำสาปนั้นคือ เมื่อเจ้าหญิงเติบใหญ่เป็นสาว พระนางจะถูกเข็มปั่นด้ายทิ่มนิ้วและสิ้นชีพทันที เมื่อนางฟ้าใจร้ายจากไปจากงาน นางฟ้าผู้ที่ยังไม่ได้ให้พรพระนางก็ตัดสินใจแก้คำสาป แต่เธอมิสามารถแก้ได้ทั้งหมด ส่วนที่แก้ได้คือ แทนที่พระนางจะสิ้นชีพเมื่อโดนเข็มตำ ความตายจะกลายเป็นการหลับนอนแทน พระนางจะต้องบรรทมไปถึง 100 ปี จนกว่าจะมีเจ้าชายมาจุมพิตพระบิดา (กษัตริย์) ของพระนาง ได้สั่งให้ราษฎรเลิกใช้และทำลายเข็มปั่นด้ายทั้งหมดในราชอาณาจักร และถ้ามีผู้ขัดขืน ผู้นั้นจะได้รับการลงทัณฑ์ด้วยความตาย แต่เมื่อเจ้าหญิงอายุ 15 หรือ 16 ปี พระนางก็ได้มาเจอสาวชราผู้หนึ่ง ผู้ที่ไม่ได้รับข่าวการทำลายเข็มปั่นด้าย ด้วยความประหลาดตาของพระนาง พระนางจึงสนใจอยากลองปั่นด้ายขึ้นมาทันที ในที่สุด เจ้าหญิงก็โดนเข็มปั่นด้ายทิ่มแทงนิ้วและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ตามคำสาปของนางฟ้าใจร้าย นางฟ้าใจดีทั้งหลายก็ได้กลับมา พวกเธอเสกให้ทุกคนในวังหลับหมดไปพร้อมกับเจ้าหญิง (ถ้าเจ้าหญิงตื่นเมื่อไร คนในวังก็จะตื่นเมื่อนั้น) และพวกเธอก็เสกให้ป่าไม้ที่มีหนามมากมายขึ้นรอบๆ วัง เพื่อไม่ให้มีใครเข้ามาได้หนึ่งร้อยปีผ่านมา มีเจ้าชายผู้ที่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าหญิงนิทรานี้ ตัดสินใจฝ่าฟันป่าขวากหนามเข้าไปหาเจ้าหญิง ด้วยความอยากพิสูจน์ว่าเรื่องราวของเจ้าหญิงเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เมื่อเจ้าชายได้เข้าไปในวังของเจ้าหญิงนิทรา เจ้าชายก็รู้ทันทีเลยว่า เรื่องเล่านั้นเป็นเรื่องจริง เจ้าชายจูบเจ้าหญิง ซึ่งทำให้เธอฟื้นขึ้นมาทันที หลังจากนั้นทุกคนในวังก็ตื่นพร้อมๆ กันกับเจ้าหญิงภาค 2เมื่อสมรสอย่างลับๆโดยนักสังคมสงเคราะห์หลวงที่เพิ่งฟื้นตื่น เจ้าชายจอห์นก็ยังไปเยี่ยมเจ้าหญิงอยู่ ซึ่งพระนางได้มีบุตร 2 คนให้เจ้าชาย มีชื่อว่า โลรอร์ และ เลอ จูร์ ซึ่งเจ้าชายเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากมารดาของเขา ผู้ที่มีเชื้อสายยักษ์ เมื่อเจ้าชายได้ขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ก็พาบุตรและพระชายาไปที่นครหลวงของพระองค์ ซึ่งในไม่ช้าพระองค์ได้ออกจากนครหลวง โดยให้มารดาเป็นผู้สำเร็จราชการ ในขณะที่พระองค์ไปทำศึกกับกษัตริย์เพื่อนบ้าน ผู้มีนามว่า จักรพรรดิ์คองทาลาบุทท์มารดาราชินียักษ์ส่งราชินีสาว และลูกของพระนางไปที่เรือนที่แยกตัวจากวัง ซึ่งอยู่ในป่า และได้สั่งให้พ่อครัวหลวงของเธอไปที่นั่น เพื่อที่จะเอาบุตรชายของพระนางสาวมาเป็นอาหารค่ำ โดยให้ปรุงด้วยซอสโรเบิร์ท(มัสตาร์ดสีน้ำตาลของฝรั่งเศส) พ่อครัวหลวงผู้นั้นสงสารเลยใช้เนื้อลูกแกะแทน ซึ่งทำให้ราชินียักษ์โปรดโดยไม่รู้ว่าเป็นเนื้อลูกแกะ จากมื้อนี้เธอก็ได้ให้คำสั่งอีกว่าอยากรับประทานลูกสาวของพระนางสาว แต่พ่อครัวหลวงก็แอบเอาลูกแกะมาแทนเหมือนเดิมด้วยซอสโรเบิร์ทรสเลิศ เมื่อนางยักษีได้สั่งให้พ่อครัวหลวงนำพระนางสาวมาเป็นอาหารมื้อต่อไป พระนางสาวจึงอาสาเสนอมอบคอพระนางให้พ่อครัวเชื่อด โดยที่คิดว่าพระนางจะได้ไปอยู่กับบุตรทั่ง 2 ที่พระนางคิดว่าตายไปแล้ว มีการกลับมารวมกันใหม่แบบลับที่เศร้าโศกในบ้านของพ่อครัวหลวง โดยขณะที่มารดาราชินียักษ์กำลังรับประทานเนื้อกวางตัวเมียกับซอสโรเบิร์ทอย่างเอร็ดอร่อย ในไม่ช้านางยักษีก็รู้ความลับ และเธอก็เตรียมอ่างที่เต็มไปด้วยงูพิษและสัตว์ร้ายอื่นๆ ในสนามหลวง กษัตริย์ได้กลับมาพอดีกับในขณะเวลาที่นางยักษีกำลังดำเนินการนี้ และเมื่อนางโดนจำได้ในการกระทำชั่ว เธอก็กระโดดลงอ่างเอง และตายอย่างสาหัส และทุกๆ คนก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดนิรันดร
Credit :: http://th.wikipedia.org/wiki/
:) Walt Disney :: Peter Pan
ปีเตอร์ แพน เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยนักประพันธ์ชาวสก็อต ชื่อ เจ. เอ็ม. แบร์รี่ เป็นเด็กชายผู้หนึ่งที่สามารถบินได้ และมีมนต์พิเศษในการปฏิเสธการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับเป็นเด็กตลอดกาล เขาใช้ชีวิตวัยเด็กตลอดกาลของเขาท่องเที่ยวผจญภัยอยู่ในเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในดินแดนเนเวอร์แลนด์ เป็นหัวหน้าของแก๊งเด็กหลง อยู่กับหมู่นางฟ้า และต่อสู้กับโจรสลัด ปีเตอร์ แพนจะมาพบปะกับเด็กธรรมดาๆ ในโลกภายนอกบ้างเป็นครั้งคราว
ตัวละคร ปีเตอร์ แพน ปรากฏตัวครั้งแรกในตอนหนึ่งของ The Little finger ซึ่งเป็นนวนิยายสำหรับผู้ใหญ่ ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1902 หลังจากนั้นจึงได้พิมพ์แยกเป็นเรื่องของตนเองในปี ค.ศ. 1906 ในฐานะหนังสือเด็ก ใช้ชื่อเรื่องว่า Peter Pan in Kensington Gardens
ปีเตอร์ แพนมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากการแสดงละครเวทีเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1904 เรื่อง Peter Pan หรือ The Boy Who Wouldn't Grow Up ต่อมามีการดัดแปลงละครเวทีเรื่องนี้ไปเป็นนวนิยาย ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1911 ใช้ชื่อเรื่องว่า ปีเตอร์กับเวนดี้ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น ปีเตอร์ แพน กับเวนดี้ ชื่อสกุลของ "แพน" มาจากชื่อของเทพกรีกองค์หนึ่งผู้เป็นเทพแห่งดนตรี ซึ่งปีเตอร์มักเป่าขลุ่ยชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ขลุ่ยแพน"
ในเวลาต่อมา ปีเตอร์ แพน ถูกดัดแปลงและสร้างเหตุการณ์ต่อเนื่องทั้งก่อนและหลังเรื่องเล่าเดิมไปอีกมากมาย ผลงานดัดแปลงวรรณกรรมเรื่องนี้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์การ์ตูนของ วอลท์ ดิสนีย์ เรื่อง ปีเตอร์ แพน ในปี ค.ศ. 1953 นอกจากนี้มีการแสดงละครบรอดเวย์เรื่อง ปีเตอร์ แพน ภาพยนตร์เรื่อง ฮุค ในปี ค.ศ. 1991 ภาพยนตร์เรื่อง ปีเตอร์ แพน ในปี ค.ศ. 2003 และนวนิยายภาคต่อ เรื่อง Peter Pan in Scarlet ในปี ค.ศ. 2006 นอกจากนี้ ปีเตอร์ แพน ยังปรากฏในผลงานอื่นๆ อีกมากมายทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง เป็นที่รู้จักกันไปกว้างขวางทั่วทั้งโลก
Credit :: http://th.wikipedia.org/wiki
:) Walt Disney :: Alice in Wonderland
เด็กหญิงอลิซ รู้สึกเบื่อหน่ายกับการนั่งเล่นริมน้ำกับพี่สาวเธอเฝ้าดูพี่สาวอ่านหนังสือที่เต็มไปด้วยตัวอักษร ด้วยคำถามในใจว่า อ่านหนังสือที่ไม่มีรูปภาพจะสนุกได้อย่างไร และเธอก็เผลอหลับโดยฝันเห็นกระต่ายขาวสวมเสื้อกั๊ก มีนาฬิกาพกวิ่งผ่านเธอ เธอจึงวิ่งตามและลงไปในโพรงกระต่าย ที่นี้เธอพบกับสิ่งมหัศจรรย์มากมาย อาทิ น้ำวิเศษที่ดื่มแล้วตัวสูงหรือเตี้ยได้ เค้กวิเศษกินแล้วร่างกายใหญ่โตหรือหดเล็ก แม้กระทั่งเธอเอง ร่างกายการหดเล็กจนแทบจมแอ่งน้ำตาของตนเอง หรือเห็ดพิเศษที่ทำให้คอยืดยาว
อลิซได้พบการแข่งขันวิ่งวุ่นของฝูงนำที่มีนกโดโด้เป็นผู้จัดการแข่งขัน ได้พบหนอนยักษ์สีน้ำเงินที่ชอบสูบควันและอาศัยบนดอกเห็ด ซึ่งมีท่าทีเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้เจอองครักษ์กบองค์รักษ์ปลา และแมวเซสเซียร์ที่ยิ้มได้ หรือการร่วมดื่มน้ำชาวิกลจริตกับสามสหายได้แก่ เจ้าหนูดอร์เมาส์ กระต่ายมีนา และช่างทำหมวก หรือการได้เห็นสนามโครเกต์ของพระราชาและพระราชินีโพแดง ซึ่งเต็มไปไปด้วยทหารไพ่ ทีต้องพยายามเอาใจพระราชินีเพื่อใม่ป้องกันถูกสั่งตัดหัว สนามโครเกต์ของพระราชินีมีเม่นเป็นลูกบอล มีนกฟลามิงโก้เป็นไม้ตี
เธอได้เจอเจ้ากริฟฟอนสัตว์เลี้ยงของพระราชินี ได้รับฟังโรงเรียนของเต่า จากเต่าประหลาดซึ่งมีลักษณะพิเศษกว่าโรงเรียนที่อลิสเคยเจอได้เห็นการเต้นระบำกุ้งล็อบเตอร์ และการที่อลิสได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีใครขโมยทาร์ตไป ในที่สุดอลิซก็ตื่นจากฝัน และบอกเล่าความฝันที่แสนมหัศจรรย์ให้พี่สาวฟัง
ต่อมา อลิซในแดนมหัศจรรย์ ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีและนำออกฉายในปี 2553 ซึ่งเป็นเรื่องราวของอลิส คิงเลอร์ สาวน้อยวัย 19 ที่กำลังคิดถึงอนาคตของเธอ การเป็นคนคิดต่างคนอื่นทำให้เธอโดดเดี่ยวเมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาของเหล่าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่มีจิตใจคับแคบแห่งกรุงลอนดอนในยุควิคตอเรีย อลิซ คิงส์ลีย์ รู้สึกสับสนวิธีการที่จะสร้างสมดุลระหว่างความฝันของเธอกับความคาดหวังของคนรอบข้างหลังจากการสูญเสียบิดาผู้เป็นที่รัก เธอไปร่วมงานปาร์ตี้ในสวน กับแม่และพี่สาวโดยที่เธอไม่รู้เลยว่ามันถูกวางแผนให้เป็นปาร์ตี้งานหมั้นของเธอ และในขณะที่ ฮามิชแอสคอตผู้เย่อหยิ่งกำลังขอเธอแต่งงาน อลิซได้เหลือบไปเห็นกระต่ายสีขาวใส่เสื้อโค๊ตตัวสั้นกับนาฬิกาพกวิ่งข้ามสนามไป เธอจึงวิ่งตามเจ้าขนปุยตัวขาวลงไปในโพรงกระต่ายสู่ดินแดน อันเดอร์แลนด์ ที่เธอเคยมาเยือนเมื่อครั้งยังเด็ก แต่ความทรงจำเกี่ยวกับดินแดนและผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ของเธอได้เลือนหายไปนานแล้วอย่างไรก็ตามเธอได้กลับมาพบกับเพื่อนวัยเด็กของเธอ ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายขาวไวท์แรบบิทซึ่งทำหน้าที่ตามหาและนำพาอลิซมายังอันเอดร์แลนด์ แฝดยักษ์อ้วนจอมป่วน ทวีเดิลดี กับ ทวีเดิลดัม เดอร์เม้าส์ หนูตัวจิ๋ว การที่อลิซจำอันเดอร์แลนด์ไม่ได้ ทำให้ทั้งหมดคิดว่า เธอไม่ใช่อลิซตัวจริง จึงพาเธอไปหาหนอนผีเสื้อแอ๊บโซเลม
แอ๊บโซเลม เป็นหนอนผีเสื้อสีน้ำเงินอาศัยบนเดอกเห็ดในป่าเห็ดที่ปกคลุมด้วยหมอกควันเป็นผู้รอบรู้และผู้พิทักษ์ "ออราคูลัม" เอกสารเก่าแก่ที่บันทึกทุกเหตุการณ์สำคัญทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตในประวัติศาสตร์ของอันเดอร์แลนด์ กระต่ายขาวและทวีเดิลทั้งสองได้พาอลิซมาพบกับแอ๊บโซเลมเพื่อที่จะให้ดูว่าเป็นอลิซตัวจริงเสียงจริงที่เคยมาเยือนดินแดนแห่งนี้เมื่อครั้งยังเด็ก แอ๊บโซเลมบอกว่า อลิซถูกชะตากำหนดให้มาช่วยอันเดอร์แลนด์ แต่อลิซก็ปฏิเสธ
ขณะนั้นเองทหารของราชินีแดงก็ปรากฏตัวขึ้น จับกระต่ายขาวและแฝดยักษ์ ในขณะที่อลิซและเดอร์เม้าส์สามารถหนีไปได้ ระหว่างทางอลิซได้พบกับเวสเชียร์ แมววิเศษที่พาเธอไปพบกับแมดแฮทเทอร์ ช่างทำหมวกผู้ภักดีกับราชินีขาวและกระต่ายมีนา ซึ่งทั้งสองหลุดรอดจากการจับกุมของราชินีแดง
แมดแฮทเทอร์เชื่อว่า อลิสคือตัวจริงที่เคยมาเยือนวันเดอร์แลนด์ในวัยเด็ก จึงเล่าว่า ราชินีแดงได้แย่งชิงบังลังค์จากราชินีขาว และปกครองทุกคนด้วยความกลัว ดังนั้นจะต้องกอบกู้บัลลังค์และช่วยวันเดอร์แลนด์ให้เป็นอิสระ โดยอลิซจะเป็นอัศวินในวันศึกมหัศจรรย์ อลิซไม่เชื่อว่า จะเป็นตนเอง แมดแฮทเทอร์จึงถามว่า ความเป็นอลิสในวัยเด็กหายไปไหน ขณะนั้นราชินีแดงทราบข่าวว่า อลิสมาถึงอันเดอร์แลนด์จึงส่งทหารมาจับ แต่แมดแฮทเทอร์ก็ช่วยเหลือพาอลิสหนี จนกระทั่งตนเองถูกจับ
อลิซจึงตัดสินใจช่วยเหลือแมดแฮทเทอร์ โดยการปลอมตัวเข้าไปอยู่ในวังราชินีแดงในนามอัม ราชินีแดงที่อลิสพบคือ คนที่มีหัวที่โตผิดขนาดและอารมณ์อันฉุนเฉียว ชอบสั่งให้ตัวหัวคนเป็นว่าเล่น ทำให้เหยื่อของเธอต่างหวั่นกลัวเธอเป็นอย่างมาก ราชินีแดงเป็นพี่สาวของราชินีขาว...ต่อมาเมื่อเจอแมดแฮทเทอร์จึงวางแผนค้นหาดาบศักดิ์สิทธิ์ของราชินีขาวเพื่อปราบสัตว์ร้ายที่ราชินีแดงใช้ข่มขู่คนให้หวาดกลัว
ต่อมาอลิสค้นหาดาบเจอพร้อมกับราชินีแดงทราบว่า เธอคืออลิส จึงสั่งทหารจับตัวแต่แมดแฮทเทอร์ก็ขัดขวาง บอกให้เธอรีบหนีไปหาราชินีขาวราชินีแดงโกรธมากสั่งประหารชีวิตแมดแฮทเทอร์ โชคดีที่แมววิเศษเซสเชียร์มาช่วยไว้ แมดแฮทเทอร์ จึงประกาศเชิญชวนให้ทุกคนต่อต้านราชินีแดง ปรากฏว่า
มีคนออกมาร่วมต่อต้านราชินีแดงโกรธมาก จึงสั่งทหารจับและประกาศสงครามกับราชินีขาว
มีคนออกมาร่วมต่อต้านราชินีแดงโกรธมาก จึงสั่งทหารจับและประกาศสงครามกับราชินีขาว
เมื่ออลิสพบราชินีขาวผู้อ่อนหวาน เธอมอบดาบให้ราชินีขาว แต่ราชินีขาวกลับให้ดาบนั้นแก่เธอพร้อมทั้งบอกว่าเธอจะเป็นผู้ใช้มันปราบเจ้ากริฟฟอนสัตว์ร้ายของราชินีแดงในวันศึกมหัศจรรย์ แต่อลิสก็ปฏิเสธเพราะเธอคิดว่า คนปราบสัตว์ร้ายไม่ใช่เธอ เมื่อกองทัพราชินีแดงมาประชันถึงเมืองทุกคนรอคำตอบจากอลิส เธอได้ปรึกษากับแอบโซเล็ม และแอ๊บโซเลมได้ท้าทายอลิซให้เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวเอง และเพื่อตอบคำถามว่า "เธอคือใคร?"
ในที่สุดอลิสก็ตัดสินใจสู้กับสัตว์ร้ายและสามารถเอาชนะได้ที่สุด ราชินีขาวขึ้นปกครองอันเดอร์แลนด์ ราชินีแดงพร้อมทหารคู่ใจถูกเนรเทศ อลิสจึงกลับจากอันเดอร์แลนด์โดยสัญญากับเพื่อนๆ ว่าจะไม่ลืมอันเดอร์แลนด์ ราชินีขาวจึงส่งอลิสกลับสู่ข้างบนในโลกความจริง
เมื่ออลิสออกจากโพรงไม้ สู่โลกความจริง ซึ่งฮามิช แอสคอต กำลังรอคำตอบการตกลงแต่งงานจากเธออยู่อลิสตอบปฏิเสธการแต่งงานและบอกกลับแม่และพี่สาวว่า เธอจะยังไม่แต่งงาน แต่จะหางานทำ เพื่อดูแลตนเอง พ่อของฮามิช แอสคอต จึงบอกว่า เมื่อเธอไม่อยากเป็นลูกสะใภ้ก็สามารถมาทำงานด้วย
อลิสดีใจมากตอบตกลงทำงานพร้อมทั้งเสนอแผนการค้ากับต่างประเทศและตัดสินใจเดินทางไปค้าขายต่างประเทศ
อลิสดีใจมากตอบตกลงทำงานพร้อมทั้งเสนอแผนการค้ากับต่างประเทศและตัดสินใจเดินทางไปค้าขายต่างประเทศ
ภาพยนตร์เรื่องอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ มิใช่เพียงความตื่นตาในจินตนาการเท่านั้น หากแต่เป็นความฝันและความกล้าของเด็กสาวคนหนึ่งในการตัดสินใจและเผชิญปัญหา การที่ อลิซลังเลที่จะตัดสินใจในการแต่งงาน ทั้งที่เธอไม่อยากแต่ง แต่ก็หาทางออกไม่ได้เพราะสภาพสังคมที่เชื่อว่า ชายเป็นผู้มีอำนาจ หากได้แต่งงานกับชายที่ดีมีความพร้อมก็เสมือนกับมีฉัตรแก้วเจ็ดชั้นกั้นภัย หากไม่ได้แต่งงานก็จะขึ้นคานให้คนดูแคลน ต่อมาเมื่อเธอกลับเข้ามาอยู่ในอันเดอร์แลนด์จึงเข้าใจว่า ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง เพื่อเชื่อมั่นในพลังอำนาจแห่งตน
อนึ่งหนังเรื่องนี้ ยังบอกว่า คนเราย่อมมีคุณสมบัติความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ในตัว และทุกคนล้วนมีความฝัน หากแต่จะจัดการกับความฝันและความจริงอย่างไร การที่อลิสลงไปในโพรงในหลุมเพื่อสู่อันเดอร์แลนด์ เปรียบได้ดั่งการที่อลิสเกิดการสำรวจจิตไร้สำนึก หรือเบื้องลึกของจิตใจที่ไม่สามารถรับรู้ได้ในยามปกติ
การที่เธอหลบหนีจากโลกของจิตสำนึกหรือโลกความจริง เพื่อเข้ามาพักชั่วคราวในโลกแห่งความฝันความหวังเพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดเพื่อแก้ปัญหาที่เธอกำลังเผชิญ โดยเธอต้องตอบคำถามว่า "เธอคืออลิซคนนั้นหรือเปล่า" หรือ
"เธอคือคนเดียวกับหนูน้อยอลิซที่เคยมาเยือนแดนมหัศจรรย์เมื่อ 13 ปีที่แล้วรึเปล่า" อาจตีความได้ว่า ชาวอันเดอร์แลนด์กำลังตั้งคำถามให้เธอหันกลับมาพิจารณาตัวเองว่า"เธอกำลังทำในสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรือเปล่า"
การที่เธอหลบหนีจากโลกของจิตสำนึกหรือโลกความจริง เพื่อเข้ามาพักชั่วคราวในโลกแห่งความฝันความหวังเพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดเพื่อแก้ปัญหาที่เธอกำลังเผชิญ โดยเธอต้องตอบคำถามว่า "เธอคืออลิซคนนั้นหรือเปล่า" หรือ
"เธอคือคนเดียวกับหนูน้อยอลิซที่เคยมาเยือนแดนมหัศจรรย์เมื่อ 13 ปีที่แล้วรึเปล่า" อาจตีความได้ว่า ชาวอันเดอร์แลนด์กำลังตั้งคำถามให้เธอหันกลับมาพิจารณาตัวเองว่า"เธอกำลังทำในสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรือเปล่า"
ย้อนมองเราเองในวันนี้ วันที่เราเติบโตจากวัยเด็กที่เต็มด้วยจินตนาการ สู่โลกของผู้ใหญ่ที่เต็มด้วยภาระรับผิดชอบและความคาดหวังตามบทบาทที่ดำรงอยู่ ในโลกความจริงที่เราใช้ชีวิตประจำวัน อาจทำให้ความฝันเราหล่นหายมากน้อยต่างกันไป บางทีเราอาจต้องกลับสู่โพรงกระต่ายเพื่อสู่อันเดอร์แลนด์เพื่อหาคำตอบว่า ชีวิตคืออะไร
Credit :: http://www.gotoknow.org/blogs/posts/449815
:) Walt Disney :: Cinderella
บ้านหลังงามที่ตั้งอยู่ท่ามกลางดงดอกไม้นานาพรรณ ที่กำลังส่งกลิ่น หอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณเป็นของพ่อม่ายหนุ่มรูปงามผู้มั่งมีคนหนึ่ง เขาครองตัวเป็นโสดอยู่มาได้นานวัน นับจากที่ภรรยาสุดที่รัก ของเขา ได้เสียชีวิตลง เหตุเป็นเพราะเขารักลูกสาวคนเดียวของเขามาก เธอเป็น เด็กหญิงที่มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่ยิ่ง เธอคนนั้นมีนามว่า " ซินเดอเรลล่า " แต่แล้วอยู่ต่อมาไม่นาน พ่อม่ายรูปงามก็เกิดทนความเหงาไม่ได้ เขาได้ตกลงใจแต่งงานใหม่กับหญิงม่ายนางหนึ่ง และทางฝ่ายนั้นก็ได้มีลูกติด มาด้วยถึงสองคน แรก ๆ ทั้งแม่เลี้ยง และลูกสาวของหล่อนต่างก็ทำเป็นรักและเอ็นดูซินเดอเรลล่าอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็เฉพาะแต่ในยามที่อยู่ต่อหน้าบิดาของเธอเท่านั้น นานวันเข้า ความงามของซินเดอเรลล่าก็จะดูฉายชัดและ ล้ำหน้ามากไปกว่าสองสาวลูกสาว ของนางขึ้นมาเรื่อยๆ ความเอ็นดูจึงแปรเปลี่ยนไป จนกลายมาเป็นความริษยา และความเกลียดชังไปในที่สุด....
เมื่อบิดาของซินเดอเรลล่าได้ล้มป่วย และต้องมาตายจากไปก่อนวัย อันสมควรอย่างนั้นด้วยแล้ว ทุกอย่างจึงดูเหมือนกับว่าจะเข้าข้างนางแม่เลี้ยงและ สองสาวพี่น้องที่จะได้แกล้งให้ซินเดอเรลล่าให้จมอยู่แต่ในครัว โดยเปลี่ยนสภาพ มาเป็นยิ่งกว่าคนใช้ เพราะนางแม่เลี้ยงได้ไล่คนใช้ในบ้านให้ออกไปทั้งหมด และนางได้ยกงานบ้านทุกอย่างให้เป็นของซินเดอเรลล่าไปโดยปริยาย....ดังนั้น ซินเดอเรลล่าจึงได้แต่วิ่งวุ่นหน้าเป็นมันอยู่แต่ที่ในครัว หัวหูยุ่งเหยิงไปหมดกับ การทำงานบ้านทั้งวันและทุกวัน ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนกับใครเขา จนอาจที่ จะพูดได้ว่าหากเป็น คนที่เพิ่งรู้จักกับครอบครัวนี้ ก็จะนึกว่า ครอบครัวนี้มีลูกสาว อยู่เพียงสองคน กับคนรับใช้สาวแสนสวยอีกคนหนึ่งเท่านั้น
วันหนึ่งพระราชาผู้ครองเขตแดนได้ประกาศจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองขึ้น บรรดาสาวงามทั่วทั้งอาณาจักรได้รับเชิญให้เข้าไปร่วมในงาน เพื่อให้เจ้าชาย รูปงามเลือกเป็นพระชายา สองสาวพี่-น้องก็ได้รับเชิญให้ไปในงานเลี้ยงครั้งนี้ กับเขาด้วย ตามปกติหลังจากที่เสร็จงานในครัวแล้วซินเดอเรลล่ามักจะออกไปนั่งเล่นอยู่ที่สวน หลังบ้านเสมอ แต่วันนี้... พี่สาวทั้งสองของเธอไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอได้พักผ่อน เอาเสียเลย ด้วยเพราะทั้งสองได้เรียกซินเดอเรลล่าให้เข้าไปช่วย เตรียมเสื้อผ้า โดยบอกว่า
" ฉันสองคนจะไปงานเลี้ยงในวัง เตรียมรีดชุดให้ด้วย " หลังจากนั้น ทั้งสองก็คุยกันถึงงานที่จะมีในไม่ช้านั้นอย่างตื่นเต้น ต่างก็หวังใจว่า ถ้าเผื่อโชคดี บางทีเจ้าชายจะเชิญเธอ ทั้งสองเต้นรำก็อาจเป็นได้...ทั้งสองฝันหวานกันอย่าง มากเลยทีเดียว....
และแล้วก็ถึงวันงานที่สองสาวพี่-น้องรอคอยมาถึง ทั้งสองเรียกซินเดอเรลล่า แบบรีบเร่งว่า " เร็วเข้า เอาเสื้อผ้าที่พวกเราเตรียมไว้มาเร็ว ๆ เข้าสิ..มัวแต่ชักช้าอยู่นั่นแหละ แล้วก็รีบมาทำผมให้เราสองคนด้วยเร็ว ๆ เรากำลังจะไปร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง แล้วก็ไม่อยากที่จะไปให้ล่าช้ากว่าใครเสียด้วย..." ซินเดอเรลล่าไม่พูดว่าอะไร เธอเพียงแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำตามคำสั่ง ที่พี่สาวทั้งสองสั่งให้ทำอย่างเดียว เมื่อ พี่สาวทั้งสองแต่งตัวเสร็จแล้ว นางแม่เลี้ยงก็พูดกับซินเดอเรลล่าว่า " ลูกสาว แสนสวยทั้งสองของฉันได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยงที่ในวัง..ส่วนแกน่ะต้องเฝ้าบ้าน "ซินเดอเรลล่า " ได้ยินไหม? มันเป็นหน้าที่ที่สำคัญของแก เข้าใจเสียด้วย " พูด แล้วนางก็เดินหันหลังให้ แล้วรีบเร่งไปยังพระราชวังพร้อมกับลูกสาวที่หยิ่งยโส ของนางทั้งสองทันที....
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว
ซินเดอเรลล่ามีความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ไว้ให้อยู่เพียงลำพัง..อย่างน่าสงสาร เธอนั่งฟุบหน้าลงไปที่บนเตียงและร่ำให้ จนน้ำตานองหน้า อย่างน้อยใจว่า " ฉันมันคนวาสนาน้อยด้อยค่านัก ไม่มี สิทธิ์ที่จะไปไหนมาไหนกับใครเขา ฮื่อ..ฮื่อ..นี่ถ้าฉันจะได้ไปในงานเลี้ยงคืนนี้ด้วย ฉันคงจะรู้สึกว่า โลกนี้ยังมีความสวยงาม หลงเหลืออยู่บ้างนะ แต่...ถึงฉันจะไปได้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแต่งชุดไหนไปอยู่ดีนั่นแหละ ในเมื่อชุดสวย ๆ ของฉันนั้นไม่มี หลงเหลืออยู่เสียแล้ว... " หญิงสาวพยายามตัดใจจากเรื่องงานเลี้ยง แล้วเตรียมตัวที่ จะเข้านอน แต่...ทันใดนั้นเอง.....ก็ปรากฏร่างๆหนึ่งขึ้นที่ตรงหน้าต่างที่ในห้อง ร่างที่ปรากฏนั้นเป็นหญิงสูงอายุในมือ ของนางมีไม้เท้าที่มีดาวดวงเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ปลายไม้ นางยิ้มให้ซินเดอเรลล่าและพูดทักทายว่า " โถ..ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินสาวน้อยคนดีของฉัน...ฉันเป็นแม่มดผู้ใจดี จ้ะ...ไม่ต้อง ทำหน้าตกใจอย่างนั้นสิ คำอธิฐานของเธอนั้นได้ยินไปถึงฉัน แล้วฉันก็เห็นว่าเธอเป็นคนดี เพราะฉะนั้น คำอธิฐานจึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้ ฟังนะก่อนอื่นใด..เธอจงไปหา ผลฝักทอง มาหนึ่งผล, หนูนาหนึ่งตัว...อ้อ.. แล้วก็หนูสีขาวอีกหกตัวด้วยนะ... นำมาให้ฉันที่นี่ โดยด่วนเลย "
เมื่อซินเดอเรลล่าไปหาสิ่งที่แม่มดผู้ใจดีต้องการมาได้ทั้งหมดแล้ว นางแม่มดก็เริ่มร่าย เวทมนต์ขึ้นในทันที นางได้เสก ผลของฟักทองให้กลับกลายมาเป็นรถม้า คันงาม เสกหนูนาให้กลายเป็นคนขับประจำตัวของซินเดอเรลล่า และยังเสกหนู สี ขาวทั้งหกตัวนั้นให้กลายมาเป็นม้าเพื่อมาเทียบรถให้อีกเสียด้วย นางยิ้มอย่าง พอใจกับกับผลงานของนาง แล้วทีนี้ นางก็หันหน้ามาทางซินเดอเรลล่าแล้วพูดว่า " ต่อจากนี้ก็มาถึงเธอแล้วล่ะ.. เธอจะไปงานเลี้ยงในวังด้วยชุดที่เก่า ๆ ปะแล้วปะอีก และซอมซ่ออย่างนั้นไม่ได้หรอกนะ " ซินเดอเรลล่า " พูดจบนางก็ยกไม้เท้าที่มีดวงดาวเล็ก ๆ ของนางขึ้นมาอีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ ตัวของซินเดอเรลล่า พลันก็ปรากฏแสงวาบจากปลาย ไม้เท้าพุ่งตรงไปยัง ร่างที่บอบบางนั้น และทันใดนั้นเอง ร่างบาง ๆ ของซินเดอเรลล่า ที่อยู่ใน ชุดแต่งกายแบบเก่า ๆ ซอมซ่อเหมือนคนใช้ก็กลับกลายมาเป็นหญิงสาว แสนสวยสะคราญโฉมอยู่ในชุดแต่งกายที่สวยหรู ผมเผ้า หน้าตานั้นเล่า ก็ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างดีไปในทันทีทันใดนั้นเลย....แล้วในตอนสุดท้ายแม่มดผู้ใจดีก็ยังได้มอบรองเท้าคู่งามที่ทำจากแก้ว บางใส สวมใส่ให้กับซินเดอเรลล่าอีกด้วย นางพูดอย่างใจดีว่า " สำหรับ คนที่สวย ๆ อย่างเธอก็จะต้องคู่ควรกับรองเท้าแก้วคู่สวย ๆ คู่นี้...ถึงจะถูกใช่ไหม? " รองเท้าแก้วคู่งามคู่นั้นช่างเหมาะสม และยังใส่ได้อย่างพอดิบพอดีกับเท้าเล็ก ๆ ของซินเดอเรลล่าอีกเสียด้วยสิ...
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แม่มดผู้ใจดีก็ได้กระซิบบอกกับ ซินเดอเรลล่าว่า
" เอาละ ทีนี้เธอก็ไปงานเลี้ยงได้แล้ว ฉันรับรองว่า เจ้าชายจะต้องไม่ยอม ไปไหนให้ห่างจากเธอแน่นอน อ้อ...แต่ก็มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งว่า เธอต้อง ออกมาจากงานนั้นก่อนที่เที่ยงคืนจะมาถึง เพราะมิเช่นนั้นแล้ว เธอ จะต้อง กลับร่างมาสู่ในสภาพเดิมอย่างเก่าของเธอต่อหน้าแขกทุกคน รวมทั้งคนสำคัญ ที่เป็นหัวใจของงานอย่างเจ้าชายด้วย รับปากฉันสิ " ซินเดอเรลล่า... " ทั้ง ๆ ที่ยังจะงง ๆ อยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ซินเดอเรลล่าก็พยักหน้ารับคำ แล้วแม่มดผู้ใจดีก็หายตัวไป สารถีร่างเล็กหน้าหลิมได้เชิญหญิงสาวให้ขึ้นรถ แล้วก็เดินทางออกไปสู่จุดมุ่งหมายคือพระราชวัง....ทันที
ทันทีที่หญิงสาวก้าวท้าวเข้าไปสู่ในบริเวณงาน สายตาทุกคู่ก็เหมือน พร้อมใจกันหันหน้ามามองดูเธอกันเป็นตาเดียว พวกเขาต่างก็อ้าปาก ค้าง กับสภาพสาวสวยที่อยู่ตรงหน้า เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นหญิงสาว คนไหน จะสวย สง่า เท่าหญิงสาวคนนี้ ไม่เคยเห็นชุดที่ไหน จะสวยงามเท่าชุด ที่เธอสวมใส่ และ อาการของทุกคนก็ทำเอาซินเดอเรลล่าซึ่งห่างจากเรื่องการ ออกงานมานานนั้นอดที่จะ ประหม่าเขินอายเสียมิได้เลยทีเดียว แต่ขณะที่เธอ กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่นั้นเอง เสียงนุ่มทุ้มของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา " ให้เกียรติเต้นรำกับฉันได้ไหม??" ซินเดอเรลล่าหันหน้ามามองสบตากับเจ้าของเสียง แล้วต่างคนก็ต่างสบตา กันนิ่งอยู่ราวกับมีแรงดึงดูดขนาดใหญ่ที่ดึงดูด พวกเขาทั้งสองให้เข้าหากัน เสมือนกับว่าสรรพสิ่งรอบกายชั่วขณะนั้นหยุดการเคลื่อนไหว พวกเขามอง เห็นเพียงกันและกัน และก็ตกหลุมรักกันในทันที ซินเดอเรลล่าเขินอายจนทำอะไร ไม่ถูกเมื่อได้สบสายตาอันคบกริบที่ทอดมองมา แม้เธอจะไม่รู้จักผู้ชายตรงหน้า นี้มาก่อน แต่จากเครื่องแต่งกายและบุคคลิกที่สง่างาม แฝงไว้ด้วยอำนาจ ก็ทำให้ ซินเดอเรลล่ารู้ได้ทันทีว่า ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอขณะนี้นั้น จะเป็นใคร ไปเสียมิได้นอกจากคนสำคัญที่สุดของงานในค่ำคืนนี้...
ใช่แล้ว... "เจ้าชาย ! "
" เต้นรำกันเถอะ สาวน้อย " เจ้าชายรูปงามเอ่ยย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวยังยืน เงียบอยู่ คราวนี้หญิงสาวไม่ปฏิเสธคำชวน และมือแข็งแรงที่ยื่นออกมาเชื้อเชิญตรงหน้า.... หลังจากนั้นก็ดูเหมือนกับว่า โลกทั้งโลกนี้นั้นจะมีก็แต่เพียงพวก เขาสองคนเท่านั้น พวกเขาต่างเต้นรำกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเลยทีเดียว....และในงานนั้นนาง แม่เลี้ยงทั้งลูกสาวทั้งสองของนางต่างก็ยืนจ้องมองกันอยู่อย่างอิจฉาตาร้อน ในความ สวยงามของหญิงสาวที่กำลังเต้นรำ อยู่ในวงแขนของเจ้าชายที่พวกเธอไฝ่ฟันอยาก ที่จะเป็นเจ้าของหนักหนา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะจ้องมองยังไง พวกเขาก็จะไม่ทันที่จะ นึกหรือจำได้หรอกว่า หญิงสาวแสนสวยที่พวกเขามองอยู่จะเป็น " ซินเดอเรลล่า" ลูกเลี้ยงและน้องสาวที่แสนสกปรกมอมแมมของบ้านที่พวกเขาเกลียดแสนเกียดผู้นั้น ได้เสียด้วย! ครั้นพอใกล้ที่จะถึงเวลาเที่ยงคืน เมื่อซินเดอเรลล่ารู้สึกตัวขึ้นนาฬิกาก็กำลัง จะตีบอกเวลาเที่ยงคืนเข้าพอดี หญิงสาว รีบบอกขอตัวอำลาเจ้าชายทันที แล้วเริ่มวิ่งออกไปจากงาน ซึ่งเธอจำได้ถึงคำพูดที่แม่มดผู้ใจดีได้บอกเธอไว้ " หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ " แต่เจ้าชายพยายามที่จะถามนามของหญิงสาว ที่พระองค์ได้ตระกองกอดหมุนเต้นรำไปทั่วทั้งงาน หากแต่หญิงสาวไม่ได้ ให้คำตอบ เพราะได้แต่รุกรนและพยายามที่จะปลีกตัวออกไปจากงานให้จงได้ เจ้าชายพยายามรั้งเธอเอาไว้ หญิงสาวดิ้นรน และสุดท้ายก็หลุดออกมาจากอ้อม กอดของเจ้าชายจนได้ แล้วรีบวิ่งออกไปจากงานโดยที่มีเจ้าชายก็ได้วิ่งตามเธอ มาติด ๆ พลางร้องเรียก " เดี๋ยวก่อน..เธอเป็นใครกันสาวน้อย กรุณาบอกชื่อ และที่อยู่ของเธอให้แก่ฉันก่อนสิ... !"
แต่ก็ไม่มีการหันหลังกลับจากซินเดอเรลล่า หญิงสาวยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง... แล้วก็วิ่งและด้วยความเร็วบวกกับกระโปงที่ยาวรุ่มร่ามของเธอทำให้หญิง สาวสะดุดบันใดล้มลง รองเท้าแก้วข้างหนึ่งต้องเป็นอันหลุดออกจากเท้า แต่เธอก็ไม่มีเวลาพอที่จะหันกลับมาเก็บมันเสียแล้ว....เพราะทั้งเจ้าชายและ ทหารได้วิ่งตามมาติด ๆ หญิงสาวจึงจำต้องทิ้งรองเท้าแก้ว แสนสวยข้างหนึ่ง ไว้ที่นั่น เจ้าชายหยิบรองเท้าแก้วข้างนั้นขึ้นมา และมองมันนิ่งอย่างพยายามใช้คิด.....
ส่วนข้างฝ่ายซินเดอเรลล่านั้น เมื่อเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว....ทุก ๆ อย่างก็เริ่มละลายจางหายไปในทันที มันกลับสภาพคืนมาสู่สภาพเดิมของมัน ตามปกติ เสื้อผ้าที่แสนสวยงามทั้งหน้าตาที่ถูกตบแต่งไว้อย่างดีนั้นหรือ ก็จางหาย ไปจนหมด...ไม่ว่าจะเป็นรถม้า คนขับรถม้าประจำตัวของเธอและรวมถึงม้าทั้งหก ตัวนั้นมันก็ได้กลับคืนมาสู่สภาพเดิมหรือร่างของมัน พวกมันต่างก็วิ่งหนีหายไปใน ความมืดในที่สุด...ซินเดอเรลล่า นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นดินอย่างเหน็ดเหนื่อยในชุดที่ ซอมซ่ออย่างเดิมของเธอ...แต่จะเป็นด้วยเพราะอะไรก็ไม่รู้ที่รองเท้าแก้วข้างเดียว ที่เธอสวมใส่อยู่ในขณะนั้นมันยังคงหลงเหลืออยู่ที่เท้าของเธอไม่ยอมจางหายไปทางไหน...น่าแปลกใจเป็นอย่างมาก
และในเช้าของวันต่อมา เจ้าชายก็ให้ทหารไปป่าวประกาศไปทั่วทั้งเมือง ว่า
" หญิงสาวคนใดที่สามารถสวมใส่รองเท้าแก้วที่มีอยู่ ข้างเดียวนี้ได้ จะได้เข้าพิธีอภิเสกสมรสกับเจ้าชายทันที " ข่าวนี้สร้างความฮือฮาไปทั่ว ทั้งเมือง เพราะปรากฏว่ามีหญิงสาวมากมายอาสาเข้ามาลองใส่รองเท้า แก้วข้างนั้นกันอย่างมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครที่จะใส่รองเท้าข้างนั้น ได้สักคน ทหารจึงจำต้องนำรองเท้าข้างนั้นออกนอกเมือง ไปยังหมู่บ้าน ต่าง ๆ เพื่อให้หญิงสาวทั้งหลายได้ลองสวมใส่ได้อย่างทั่วถึง...แต่ผลก็เป็น เช่นเดิม คือยังไม่มีใครตนใดที่จะใส่รองเท้าแก้วข้างนั้นได้สักเลยคนเดียว..
จนกระทั่งขบวนทหารได้มาถึงที่บ้านของ
ซินเดอเรลล่า พี่สาวสองคน ของเธอดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ ทั้งสองต่างก็หวังว่าตัวเอง อาจจะสามารถ สวมใส่รองเท้าข้างนั้นได้ แต่สำหรับพี่สาวคนโตรองเท้าแก้วข้างนั้นเล็ก ไปสำหรับเธอ ส่วนพี่สาวคนที่สองเท้าของเธอก็เล็กเกินไปสำหรับรองเท้า แก้วแสนสวยข้างนั้นทหารจึงได้ขอตัวเตรียมที่จะลากลับ....แล้วในขณะนั้นซินเดอเรลล่า ก็ได้ออกมาปรากฏตัวขึ้นและพูดว่า " ขอให้ฉันได้ลองสวมรองเท้าข้างนั้น ดูหน่อยได้มั้ยคะ " เมื่อเธอพูดจบเสียงหัวเราะ หยามหยันจากแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองของเธอก็ดังขึ้น นางแม่เลี้ยงยืนเท้าสะเอว และพูดว่า " ชะ แม่คนนี้ ขนาดพี่สาวแสนสวยทั้งสองของแกยังใส่ไม่ได้เลย แล้ว น้ำหน้าอย่างแก จะมีภูมิปัญญาถึงได้ยังไง?... " ตอนท้ายนางยังหันไปทางนายทหาร เหล่านั้นแล้วพูดแบบออกคำสั่งว่า " เก็บรองเท้า นั่นกลับไปเถิด ที่นี่ไม่มีใครจะใส่ รองเท้าแก้วข้างนั้นได้อีกแล้ว " แต่นายทหารทั้งหลายไม่ยอมทำตามคำสั่งของนางแม่เลี้ยงอย่างง่าย ๆ เขา ได้พูดขึ้นว่า " เจ้าชายได้บอกและออกคำสั่ง กำชับกับเรามาว่า ต้องให้หญิง สาวทุกคนที่อยู่ในเมืองนี้ได้ลองใส่ทุกคน เพราะฉะนั้นถึงนางจะเป็นใคร หรือจะอยู่ในฐานะเช่นไรก็ตามทีเถอะ นางนั้นมีสิทธิ์ " พูดจบเขาก็ยื่นรองเท้า ให้ซินเดอเรลล่าสวมใส่ท่ามกลางสายตาแห่งความไม่พอใจของทั้งสามคนนั่นแหละ และทันที ที่ซินเดอเรลล่าลองสวมดูก็ปรากฏว่า เธอสวมรองเท้าแก้วข้างนั้นได้อย่าง เหมาะสม นำความแปลกใจและตกใจมาสู่ทุก ๆ คน แล้วซินเดอเรลล่า ก็ได้นำเอา รองเท้าแก้วอีกข้างหนึ่งที่เธอเก็บซ่อนเอาไว้นั้นออกมา........... นายทหารดีใจมากรีบนำเรื่องไปทูลเจ้าชาย เจ้าชายก็ทรงดีพระทัยเป็นอย่างมาก และได้รีบยกขบวนกันไปที่บ้านของ ซินเดอเรลล่า และไม่นานจากนั้นต่อมา เจ้าชายก็จัดพิธีอภิเษกสมรสกับซินเดอเรลล่า อย่างมโหฬาร และจากนั้นทั้งสองก็ ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดมา...
คติที่น่าชื่นชมของนิทานเรื่อง
ซินเดอเรลล่า ก็คงจะมีอยู่ที่ว่า " ความดี ความอดทน จะส่งผล ที่หอมหวานเสมอ..."
ที่มา: http://sukumal.net
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)