วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555
:) Walt Disney :: The Princess and the Frog
เจ้าหญิงองค์หนึ่ง เดินถือลูกบอลทองคำโยนเล่นมาอย่างเพลิดเพลิน เมื่อเดินมา ใกล้สระน้ำแห่งหนึ่ง ลูกบอลทองคำได้หลุดมือของเจ้าหญิงกลิ้งตรงไปยังสระน้ำ เจ้าหญิง วิ่งไล่ลูกบอลไป แต่ก่อนที่เจ้าหญิงจะฉวยลูกบอลไว้ได้มันก็กลิ้งตกลงไปในน้ำสียงดังป๋อม เจ้าหญิงคุกเข่าลงข้างสระน้ำ และมองลงไป ลูกบอลทองคำจมอยู่ที่ก้นสระ ส่องประกายเหมือนดวงอาทิตย์สีทอง เจ้าหญิงพยายามเอื้อมมือลงไป แต่สระนั้นลึกเกินไปจน เจ้าหญิงงมลงไปไม่ถึงลูกบอล เจ้าหญิงจึงเริ่มต้นร่ำไห้ “เธอร้องไห้ทำไมหรือ เสียงหนึ่งถามออกมา เจ้าหญิงมองไปรอบตัว มีแต่กบตัวเดียวนั่งอยู่บนก้อนหินข้างสระน้ำ “เจ้าพูดหรือ?” เจ้าหญิงถาม “ข้าพูด” กบตอบ เจ้าหญิงจึงเล่า เหตุที่เกิดขึ้นกับลูกบอลของเธอให้กบฟัง “ข้าจะงมลูกบอลมาให้ท่าน ถ้าท่านสัญญากับข้าสามสิ่ง” กบบอก “ท่านต้องให้ข้านั่งบนเก้าอี้ของท่าน ท่านต้องแบ่งอาหารของท่านให้ข้ากิน และท่าน ต้องให้ข้านอนบนเตียงของท่าน” “แน่นอนข้าจะทำตามนั้น ข้าสัญญา” เจ้าหญิงกล่าว “เอาล่ะ ทีนี้เจ้าจะกรุณาเอาลูกบอลมาให้ข้าได้หรือยัง?” เจ้ากบดำลงไปยังก้นบ่อ แล้วนำลูกบอลทองคำกลับมาให้เจ้าหญิง มันไม่ง่ายสำหรับกบเลย เพราะลูกบอลนั้นใหญ่พอ ๆ กับตัวกบทีเดียว เจ้าหญิงรับลูกบอลไปจากกบแล้ววิ่งข้ามสวนจากไป พร้อมกันนั้นเธอได้ลืมสัญญา ที่ให้ไว้ เธอไม่ปล่อยให้กบคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ เช้าวันรุ่งขึ้น ทุก ๆ คนในพระราชวังเตรียมพร้อมสำหรับอาหารเช้า เจ้าหญิงกำลัง โดดเต้นมาตามทางเดิน ซึ่งกบมานั่งรออยู่ “เจ้ามาทำอะไรอยู่ในวังนี่ หือ?” เจ้าหญิงร้อง “ท่านต้องรักษาสัญญาในตอนนี้”กบบอก “จงกลับไปยังสวนที่เจ้าควรจะอยู่” เจ้าหญิงร้อง “ข้าไม่ชอบเจ้า” ว่าแล้วเจ้าหญิงได้วิ่งหนีไปแอบอยู่ด้านหลังของพระราชา “ได้โปรดทำให้เจ้ากบไปให้พ้น ๆ ทีเถิดเพคะ” เจ้าหญิงกล่าว แต่เมื่อพระราชาได้ฟังว่าเจ้าหญิงสัญญาไว้แล้ว พระองค์จึงบอกว่า “สัญญาก็คือสัญญาและจะต้องรักษาสัญญา สัญญากับกบ ก็สำคัญเท่าเทียมกับ สัญญาต่อพระราชา” พระราชาพร้อมด้วยพระธิดาทั้งสามได้นั่งลงเพื่อกินอาหารเช้า กบกระโดดมา ที่ข้างเก้าอี้ของเจ้าหญิงและร้องว่า “ขอให้ข้านั่งข้างท่านได้ไหม?” พระราชาได้ยินเสียงกบและมองจ้องเจ้าหญิง เจ้าหญิงอุ้มกบขึ้นมา “อย่าทิ้งข้าลงไปนะ” กบบอก “อย่าทิ้งกบลงไปนะ” พระราชาสั่ง เจ้าหญิงวางกบลงบนเก้าอี้ข้างตัวเธอ แล้วก็ขยับตัวออกไปห่างกบให้มากที่สุด “ขอให้ข้าร่วมกินอาหารของท่านได้ไหม?” กบถาม เจ้าหญิงยกกบขึ้นบนโต๊ะข้าง ๆ จานอาหารของเธอ กบกินอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย แต่เจ้าหญิงแทบไม่ได้กินอะไรเลย อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้สึกหิวเท่าใดนัก “ข้าเหนื่อยขอให้ข้านอนบนเตียงของท่านได้ไหม?” เจ้าหญิงไม่ตอบ พระราชามองเธอเขม็ง “สัญญาก็คือสัญญา” พระราชาบอก เจ้าหญิงอุ้มกบขึ้นมา เธอยื่นตัวกบให้ห่างตัวออกไป และนำมันไปยังห้องนอน ของเธอ เจ้าหญิงทนไม่ได้ยามเมื่อคิดว่าเจ้ากบจะนั่งบนเตียงของเธอ เธอจึงวางมันลงบน เก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ห่างจากเตียง เธอปิดประตูห้องเพื่อไม่ให้มีใครเห็นสิ่งที่เธอทำ“ข้าจะบอกพระราชาว่าท่านไม่รักษาสัญญา” กบส่งเสียง เจ้าหญิงปล่อยโฮ เธออดกลั้นต่อไปไม่ไหว “ข้าปล่อยให้เจ้านั่งบนเก้าอี้ของข้าแล้ว แบ่งอาหารของข้าให้เจ้าก็แล้ว” เธอร้อง “ข้าต้องให้เจ้านอนบนเตียงของข้าจริง ๆ หรือ” “สัญญาก็คือสัญญา ท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว” กบร้อง เจ้าหญิงคว้ากบขึ้นจากเก้าอี้ และปามันข้ามห้องไปเจ้ากบตกลงบนหมอนนุ่ม สีขาวของเธอ เจ้าหญิงยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้ เธอไม่ได้มองเห็นว่ากบได้กลับกลาย เป็นเจ้าชายองค์หนึ่ง เจ้าชายซับน้ำตาให้เจ้าหญิง“ด้วยการรักษาสัญญาของท่าน ทำให้ข้าหลุดพ้นจากคำสาปของแม่มดชั่วร้าย” เจ้าชายบอก “คราวนี้เราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป" และเป็นไปเช่นนั้น
Credit :: http://www.school.net.th
:) Walt Disney :: Lilo & Stitch
ชีวิตมีความท้าทายรออยู่สำหรับ Lilo เด็กหญิงเหงาๆ ชาวฮาวายที่ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาววัย 19 ชื่อ นานี่ สาวน้อยทั้งสองดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูตนเอง แต่อะไรๆไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนัก เมื่อ คอบร้า บับเบิลส์ นักสังคมสงเคราะห์จอมเครียดแวะมาเยี่ยม เขาก็พบสองสาวพี่น้องกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาจึงเตือน นานี่ ว่าเธอมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 วันเท่านั้นในอันที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะสมแก่การทำหน้าที่ดูแล Lilo ได้ หาไม่แล้วสถานการณ์ในบ้านหลังนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน
เย็นวันนั้น Lilo ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"แต่ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ Stitch สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ การทดลอง 626) ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อจัมบ้าผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึง Stitch ว่าเป็นอะไรที่ กันกระสุน กันไฟและคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก
เย็นวันนั้น Lilo ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"แต่ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ Stitch สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ การทดลอง 626) ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อจัมบ้าผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึง Stitch ว่าเป็นอะไรที่ กันกระสุน กันไฟและคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก
มันมองเห็นได้ในความมืดและยกวัตถุอะไรๆ ที่ใหญ่โตกว่าตัวมันถึง 3 พันเท่าได้ สัญชาตญาณอย่างเดียวของมัน คือ ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลยในสายตาของสมาชิกสภาหญิงแห่งสหพันธ์กาแล็กติค เธอจึงจับจัมบ้าเข้าคุกและพิพากษาให้ส่งตัว Stitch ไปยังดาวเคราะห์น้อยไกลลิบ
แต่ก่อนที่กัปตันแกนทูจะลงมือกำจัด Stitch ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูงหนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่าจะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับ Stitch กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย
แต่ก่อนที่กัปตันแกนทูจะลงมือกำจัด Stitch ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูงหนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่าจะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับ Stitch กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย
ฝ่าย Stitch บังคับยานมาถึงโลก และเคราะห์ร้ายดิ่งเข้าใส่รถบรรทุกน้ำตาลทรายเต็มเปา เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในบ้านดูแลสัตว์หลังหนึ่ง และฉายแววเสน่ห์น่ารักเข้าตาจน Lilo เก็บมันไปเลี้ยง (พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า Stitch ) ทักษะสุดล้ำหน้าทำให้มันสามารถเก็บซ่อนแขนขาพิเศษ (จาก 6 เหลือ 4 ข้าง) เสาอากาศและเดือยบนหลังได้ เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนหมาหน้าตาพิลึกๆ ตัวหนึ่ง
แม้พี่สาวของ Lilo และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรัก Stitch และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่ Stitch เองก็รู้ว่า Lilo กับนานี่มีที่คุ้มภัยให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยงและทำตัวติดหนึบกับครอบครัวใหม่ของมันทันที
แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย Stitch เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อ Lilo พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ Stitch ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้น Lilo ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่างเหมือนฮีโร่ของเธอ คือ เอลวิส เพรสลี่ย์
เดวิด คาเวน่าแฟนเก่าและเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่ง Stitch ก็สามารถเอาชนะอาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา
คอบร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตาจึงบอกกับนานี่ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากแยกตัว Lilo ไปซะ Stitch จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่ากำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า (ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึง แนวคิดเรื่องครอบครัวที่จะไม่มีการทอดทิ้งหรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของ Lilo ก็จางลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อสมาชิกสภาหญิงไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออกเพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตาม Stitch ไปถึงบ้านของ Lilo กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัว Stitch ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง ในช่วงเวลาที่อะไรๆเลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทูก็เดินทางมาพร้อมยานลำยักษ์เพื่อจับตัว Stitch มันหนีไปได้แต่ Lilo กลับถูกจับแทน
แม้พี่สาวของ Lilo และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรัก Stitch และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่ Stitch เองก็รู้ว่า Lilo กับนานี่มีที่คุ้มภัยให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยงและทำตัวติดหนึบกับครอบครัวใหม่ของมันทันที
แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย Stitch เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อ Lilo พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ Stitch ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้น Lilo ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่างเหมือนฮีโร่ของเธอ คือ เอลวิส เพรสลี่ย์
เดวิด คาเวน่าแฟนเก่าและเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่ง Stitch ก็สามารถเอาชนะอาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา
คอบร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตาจึงบอกกับนานี่ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากแยกตัว Lilo ไปซะ Stitch จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่ากำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า (ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึง แนวคิดเรื่องครอบครัวที่จะไม่มีการทอดทิ้งหรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของ Lilo ก็จางลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อสมาชิกสภาหญิงไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออกเพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตาม Stitch ไปถึงบ้านของ Lilo กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัว Stitch ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง ในช่วงเวลาที่อะไรๆเลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทูก็เดินทางมาพร้อมยานลำยักษ์เพื่อจับตัว Stitch มันหนีไปได้แต่ Lilo กลับถูกจับแทน
Stitch ซึ่งตระหนักในที่สุดว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Lilo กับนานี่ จึงเกลี้ยกล่อมจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ให้ร่วมแรงกันช่วย Lilo ออกมา การไล่ล่าอันดุเดือดทั่วเกาะฮาวายจึงเกิดขึ้น Stitch สามารถช่วย Lilo ออกมาได้สำเร็จ ร้อนถึงสมาชิกสภาหญิงต้องตัดสินใจออกมาเป็นผู้ควบคุมตัว Stitch เอง และเกมนี้ดูเหมือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่กฎของเกมก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ใครๆ คาดคิด
Credit :: http://www.sabuyjaishop.com/
:) Walt Disney :: Mulan
ณ กำแพงเมืองจีนมีทหารคนจีนกำลังตรวจตรากำแพงอยู่ในขณะเดียวกันได้พบกับชาวฮั่นกำลังปีนขึ้นมาบนกำแพงเมืองจีน ทหารชาวจีนก็หาทางหนีพวกชาวฮั่นให้ได้แต่ชาวฮั่นได้รุมเขาไว้จนได้เจอกับ ฉาง หยูพร้อมด้วยอินทรีคู่ใจของเขา จนเห็นแล้วจุดไฟส่งสัญญาณไปถึงพระราชวัง จนแม่ทัพรู้เข้าก็เลยไปในวังบอกกับฮ่องเต้ว่า พวกฮั่นขึ้นกำแพงเมืองจีนมาบุกเมืองเราแล้ว ฮ่องเต่รู้ดีว่าชาวฮั่นบุกมา จนเตรียมกองกำลังให้พร้อมที่จะต่อสู้กับชาวฮั่น ต่อมาในบ้านของมู่หลาน ได้เขียนลายเซ็นบนแขนของเธอเพื่อที่จะไม่ลืมตอนที่จะแสดงฝีมือในการอวดโฉมงามในงานของเธอ จนสุนัขของเธอได้คาบกระดูกมาจนพ่อของมู่หลานั้นได้สวดมนต์ภาวะนาในศาลเจ้า เพื่อจะให้คุ้มครองมู่หลานให้เป็นแม่ซื่อในวันนี้ วันหนึ่งสุนัขลากมาพร้อมด้วยถุงเมล็ดข้าว จนไก่เต็มไปหมดในศาลเจ้า จนเขาต้องสวดมนต์อีกครั้ง พอเขาสวดมนต์เสร็จ เขาได้พบกับลูกสาวที่เก็บเป็นความลับเรื่องเขียนลายเว็นที่แขน จนต่อมาในเมืองแม่ของมู่หลานกับยาย เดินทางในเมืองและแล้วยายจึงได้ตัดสินใจเอา จิ้งหรีดที่มีนามว่าคริกครี่ จนยายต้องปิดตาเพื่อฝึกความสามารถของคริกครี่ คุณแม่ของมู่หลานสั่งห้ามไม่ให้ยายเดินไปที่มีอันตรายมากเกินไป จนยายหลบไปได้ทัน จนแม่ของมู่หลานเธอได้เห็นชุดของมู่หลานสกปรกก็เลยแต่งตัวเพื่อรีบไปประกวดโฉมงามประจำปีนี้ เมื่ออาบน้ำและแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ไปต่อคิวตามพวกสาวๆคนอื่นไป จนพบกับอาจารย์ประกวดโฉมงามและเรียกเธอให้ไปเข้าบ้านของอาจาร์ยเพื่อที่จะดูว่าเธอดูดีมาดหรือเปล่าแต่อาจาร์ยบอกว่า ผอมเกินไปนิดไม่เหมาะแก่การเป็นแม่พันธ์ซะเลย มู่หลานกล่าวว่า ขอโทษค่ะ อาจาร์ยพูดอย่างเสียงดังว่า และก็หักสงบปาก จนอาจาร์ยดื่มถ้วยชาแต่มีคริกครี่อยู่ในถ้วย มู่หลานเห็นคริกครี่ตกไปอยู่ในแก้วชา ก็ตัดสินใจเอาถ้วยชาคืน อาจาร์ยก็ไม่ให้ แต่มู่หลานใช้พัดปัดคริกครี่ออกแต่ไปเกิดจุดไฟเข้าของก้นอาจาร์ยทันที จนเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในบ้านของเธอ พออาจาร์ยออกนอกบ้านเพื่อจะหาคนที่มาดับไฟช่วยเธอ จนมู่หลานราดน้ำชาใส่เธอจนเธอต้องลาออกไป ต่อมามู่หลานได้ร้องเพลงที่ไม่ดีเรื่องความไม่สำเร็จนี้ เรื่องหญิงงาม จนพอร้องเสร็จเลยนั่งใกล้เคียงกับต้นไม้ และพ่อของเธอก็มาพูดว่า ปีนี้ดอกท้อบ้านเราบ้านกระทั่งไปทั้งปี ดูนีสิดอกท้อก็ยังไม่บานแต่มั่นใจว่าพอที่จะมันบาน นั่นจะเป็นดอกท้อที่งดงามแต่อย่างใด พูดจบก็ได้ยินเสียงกลองบนหอว่ามีข้าราชการจากสำนักส่งเอกสารเพื่อจะไปรบ มู่หลานจึงกลัวและเป็นห่วงพ่อมากถ้าคิดว่าพ่อของเธอจะตายตอนที่โดนรบ และมู่หลานก็สั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับพ่อแต่ฉิง ฟู ควางไว้ ว่าเจ้าต้องเห็นแก่บุรุษซะบ้าง ต่อมาพ่อของเธอได้ไปที่ห้องเสื้อผ้าเพื่อเตรียมรบและเขาก็หยิบดาบเพื่อจะฝึกการรบจนเขาปวดหลัง และเขาก็หยิบเอกสารจากสำนักอยู่ในมือของเขา จนวันหนึ่งครอบครัวตระกูลฮัวกำลังทนข้าวกันอยู่มู่หลานเริ่มรู้สึกเริ่มอารมด์ไม่ดีเรื่องพ่อของเธอจะตายในการรบครั้งนี้ ก็เลยใช้แกวทุบโตะเสียงดัง และสั่งไม่ให่พ่อไปรบกัน พ่อจึงไม่สนใจเพื่อจะรบในการช่วยเหลือประเทสจีนให้อยู่รอดเนื้อมือของพวกฮั่นที่จะมาโจมตีในครั้งนี้ มู่หลานเริ่มรู้สึกเสียใจมาก เธออกจากบ้านนั่งร้องไห้และหาทางคิดว่าจะทำยังไงดีเพื่อจะไม่ให้พ่อของเธอออกไปรบ มู่หลานตัดสินใจงโขมยชุดเกราะของเขาไปพร้อมด้วยคาน ม้าศึกคู่ใจของมู่หลาน และมู่หลานก็หนีออกจากบ้านไป และยายก็ตกใจตื่นขึ้นมาไม่เห็นมีมู่หลานเลย จึงบอกพ่อกับแม่ว่า มู่หลานหนีไปแล้ว เขาได้ไปที่ห้องแต่ชุดเกราะที่อยู่มันหายไปแล้ว จนเขาวิตกกังวลว่าลูกจะตายไป เขาและภรรยาจึงออกนอกบ้านท่ามกลางสายฝน ทั้งคู่ก็เสียใจมากคิดว่าจะสียลูกสาวไป จนยายต้องอ้อนวอนว่าขอให้บรรชนฮัวปกป้องคุ้มครองมู่หลานด้วยเถิด และในศาลเจ้าเริ่มปรากฏตัวหัวหน้าวิญญาณและเขาปลุกมูชูมังกรสีแดงออกมา และเขาได้ปลุกพวกวิญญาณทั้งหมดจนมีเหตุเรื่องมู่หลานของไปรบจนบรรดาเหล่าวิญญาณพูดคุยกัน จนหัวหน้าได้ไปเจอกับมังกรหินอยู่ข้างนอกและจะให้ปลุกมันตื่นขึ้น มูชูก็ไปช่วยปลุกแต่มังกรไม่ยอมตื่น จึงต้องตีหัวเพื่อจะตื่นอีกทีจนรูปปั้นก็หักพังลง จนมูชูเสียดายมากตอนที่รูปปั้นนั้นพังยับเยินหมด จนเขาได้พบกับคริกครี่ได้พามูชูไปหามู่หลาน ขณะนั้นมู่หลานกำลังฝึกอยู่ในป่าไผ่พร้อมคาน แต่เธอได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น จนมู่หลานและคานต้องหลบหนีไปในก้อนหิน พอพูดเสร็จก็ปรากฏโฉมหน้าที่มู่หลานไม่รู้จัก เขาแนะนำชื่อของเขาจนเสร็จแล้ว ทั้งหมดได้เข้าค่ายทหารรบของชาวจีน จนมู่หลานได้พบกับชายแปลกๆบ้าง แต่มู่หลานได้เห็นคนสักยันตร์มังกรในค่ายจนเหยาได้ทุบหน้าอกจนสลบไป จนก่อกวนไปทั่วค่าย ในค่ายของฉางและแม่ทัพได้ตรวจดูการบุกรุกชาวฮั่นที่พร้อมจะโจมตี และแม่ทัพได้ออกไปต่อสู้กับชาวฮั่นไป ฉางได้เห็นคนทะเลาะกันว่ามีอะไรผิดปกติ พวกทหารชี้ศัตรูที่มาก่อกวนในค่ายนี้ ฉางได้ไปหาทหารแปลกหน้า และสั่งไม่ให้บุกรุกก่อกวนในค่ายนี้ ฉางบอกชื่อแต่มุชูตัดสินใจเป็น ผิง และฉางได้ยิงธนูถูกเสาที่สูงมาก ต้องพยายามเก็บมาให้ได้ วันหนึ่งมู่หลานได้ออกฝึกในค่ายและนอกค่าย มู่หลานพยายามฝึกวิชาในค่ายทหารอย่างเต็มที่ พอตกกลางคืนมู่หลานตั้งใจที่จะเก็บลูกธนูมาให้ได้ และได้เก็บลูกธนูไป ต่อมาฉางหยูกับลูกสมุนของเขา ได้เตรียมกองกำลังเอาไว้ ฉาง หยู ได้พบกับตุ๊กตา
พูดว่ากำลังจะไปคนเธอ และมู่หลานก็อาบน้ำ ได้พบกับ หลิน เฉียน โป และ เหยา ลงมาเล่นน้ำด้วย หลินได้แกล้งทหารแปลกหน้า มู่หลานก็ขึ้นไปจากฝั่ง ได้มีทหารต่างๆวิ่งไปหมดที่จะเล่นน้ำด้วยกัน มูชู กับ คริกครี่ได้เขียนจดหมายเรื่องทัพสงคราม ให้กับ ฉี ฟู เขารู้ว่าจะเตรียมให้พร้อมพรุ่งนี้ มู่หลาน มู่ชูและครอครี่ พร้อมด้วยทหารต่าง ฉาง และ ฉี ฟู ออกเดินทางไป จนได้พบกับหมู่บ้านที่ถูกไฟเผาหมด ฉางกังวลว่าพ่อเขาอยู่หรือเปล่าฉี ฟู เรียก ฉางให้มาดู แต่เขาเห็นทหารตายอยู่ข้างล่าง เฉียน โป ได้เอาหมวกพ่อ ฉาง ได้เอาดาบปักพร้อมด้วยหมวกของพ่อ เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป และแล้วสิ่งไม่ดีก็เกิดขึ้นมาคือกองทัพชาวฮั่นที่ยิงธนูใส่พวกทหาร พรรคพวกก็หลบหนีตั้งแผน พร้อมยิงปืนใหญ่ ยิงใส่ พอสักพัก ได้เห็นฉาง หยูกับม้าศึก พร้อมลูกสมุนจำนวนมาก ฉาง หยู พร้อมเตรียมโจมตีข้างหน้า มู่หลานเอาปืนใหญ่เพื่อยิงใส่ภูเขาลูกโน้น แต่มูชูติดอยู่ จนระเบิดใส่พวกกองทัพฮั่น ฉาง หยู โกรธมากที่ทำกับลูกสมุนของเขาตาย ฉาง หยูใช้ดาบใสที่ท้องเธอ นายกองฉางได้ช่วยชีวิตเธอ ได้หนีไปหิมะกำลังถล่ม พอหิมะหยุดถล่มสักพัก เธอได้รับบาดเจ็บ ตอนที่เธออยู่ที่เต้นท์พยาบาล ฉาง ได้เข้าไปดูว่าเธอตื่นขึ้นมาเห็นว่ามรที่ปิดหน้าอกไว้ และฉี ฟู รู้เข้าเห็นว่าไม่เป็นทหารแปลกหน้าผู้ชายแต่เป็นผู้หญิง ฉี ฟู สั่งให้ฉาง หยูเอาดาบเพื่อที่จะฆ่าเธอ มูชู คริกครี่ และ ทหารก็คิดว่าไม่น่าจะฆ่าเธอเลย เพื่อที่จะช่วยเธอ จนฉี ฟู ห้ามไว้ฉางจึงตัดสินใจไม่ฆ่าเธอ ฉาง ก็สั่งพวกทหารออกเดินทางไปวังหลวง ไปที่ฮั่นฉาง หยูก็เห็นศัตรูถูกถลบ่มหิมะตายไปหมด ฉาง หยู เริ่มโกรธและโมโหมากจนร้องเสียงดังไปทั่ว และทหารของเขาได้ยินก็โผล่ออกมา พร้อมจะตะลุยไปวังหลวงเช่นกัน มู่หลานคิดว่าจะฆ่าฮ่องเต้เช่นกัน จึงเอาคานม้าคู่ใจของเธอ และไปวังหลวงทันที ในเมืองมีเทศกาลจีนขบวนแห่ มู่หลานบอกกับฉางว่า พวกกองทัพฮั่นจะบุกโจมตีวัง ฉางก็ไม่สนใจที่เธอพูดเลย และไม่เชื่อเธอ กองทัพทหารซ่อนเป็นนักแสดงเชิดสิงโต พอไปถึงวังหลวง ฉาง หยูมอบดาบของพ่อ พอมอบดาบอินทรีได้โขมยให้ฉาง หยู และลูกสมุนได้จับตัวฮ่องเต้ไปเข้าวัง พวกทหารได้เอารูปปั้นสิงโตเพื่อเปิดประตู การเปิดประตูใช้ไม่ได้ผลเพราะถูกล็อกเอาไว้ มู่หลานได้แผนแล้วเรียก หลิน เฉียน โป และ เหยา ได้แต่งตัวเป็นผู้หญิงที่จะหลอกล่อชาวฮั่น แต่มีนายกองฉางมาด้วย และได้ปีนเสาขึ้นวังเพื่อจะช่วยฮ่องเต้ ทั้งหมดรีบจัดการกับพวกชาวฮั่นจนสลบไป ฉางได้ต่อสู้กับ ฉาง หยู แต่ไม่ได้ผล เฉียน โป ช่วยฮ่องเต้ออกข้างนอกวัง ฉาง หยู กับ มู่หลานได้ต่อสู้กัน มูชุเอาจรวดระเบิดพรุจน ฉาง หยูติดไว้ และแล้วฉางหยูถูกระเบิดตาย ฮ่องเต้ก็ก็พูดกับลูหลานว่า ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามากฮัวนา มู่หลาน เจ้าโขมยชุดเกราะของพ่อและหนีออกจากบ้าน และแฝงตัวเป็นทหารหลอกให้นายกองหลวงเชื่อ ทำความเสื่อมแก่กองทัพจีนทำลายพระราชวังของข้าและเจ้าได้ช่วยชีวิตพวกเราทุกคน พูดจบฮ่องเต้ได้คำนัพมู่หลานที่เป็นวีรสตรีแห่งประเทศจีนนี้ ทุกคนก็เหมือนกัน เสร็จแล้วฮ่องเต้ได้มอบดาบให้แก่เธอ พร้อมด้วย สร้อยคอ พอเสร็จแล้วก็กลับไปบ้าน พ่อของเธอได้เห็นว่าเธอยังไม่ตายยังอยู่รอด พอศึกสงครามชาวฮั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอสักพักนายกอง ฉางได้เอาหมวกของพ่อมู่หลาน มูชูเตรียมจัดงานฉลองในศาลเจ้าอยู่กันอย่างมีสุขตลอดไป
Credit :: http://th.wikipedia.org/
:) Walt Disney :: The Many Adventures of Winnie the Pooh
หมีพูห์ เป็นหมีตัวน้อยที่ช่างคิด มันชอบนั่งใต้ต้นไม้แล้วก็ คิด ต้นไม้ที่มันชอบนั่งชื่อ มิสเตอร์ แซนเดอร์ มันชอบคิดว่า ควรจะทำอะไรดีน๊า ในที่สุดมันก็จะคิดว่า บรรยากาศอย่างนี้น่าเป็นเวลากิน น้ำผึ้ง แล้ว พูห์ มักจะกังวลใจในเรื่อง น้ำผึ้ง ดังนั้น มันจึงกิน น้ำผึ้ง เป็นอาหารเช้า อาหารเที่ยง แล้วก็อาหารเย็น วินนี่เดอะพูห์ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของ คริสโตเฟอร์ โรบิน วินนี่เดอะพูห์ มีเพื่อนจำนวนมาก เช่น พิกเล็ต, ทิกเกอร์, และ แรบบิต เป็นต้น
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทหารจากเมืองวินนิเพก ( Winnipeg ) มานิโทบา ( Manitoba ) ของแคนาดา ซึ่งกำลังเดินทางไปยังภาคตะวันออกของประเทศ เพื่อเดินทางต่อไปยังยุโรป สมทบกับกองพลทหารราบของแคนาดาที่ประจำการอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่ขบวนรถไฟขนทหารแวะพักที่แม่น้ำไวท์ ( White River ) รัฐออนทาริโอ ร้อยเอก แฮรี่ โคลเบิร์น ได้ซื้อ ลูกหมี ตัวเมียสีดำในราคา 20 ดอลล่าห์ จากนายพรานซึ่งฆ่าแม่ของมันไปก่อนหน้านี้ และตั้งชื่อของมันว่า วินนิเพก ตามชื่อบ้านเกิดของเขา และเรียกชื่อมันสั้น ๆ ว่า วินนี่ (Winnie)
วินนี่ กลายเป็น สัตว์เลี้ยงนำโชค ของกองพลทหาร และถูกนำไปยังอังกฤษพร้อมกับร้อยเอก แฮรี่ โคลเบิร์น เมื่อกองพลได้รับคำสั่งให้ไปประจำสนามรบที่ฝรั่งเศส ผู้กอง โคลเบิร์น จึงนำ วินนี่ ไปฝากไว้กับ สวนสัตว์ ในกรุง ลอนดอน เป็นการชั่วคราว (ภายหลังได้ยกให้กับสวนสัตว์เป็นการถาวร) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 1919 และเป็นที่สนใจของเด็ก ๆ ในกรุงลอนดอนเป็นอันมาก มันมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงปี 1934
ตุ๊กตา ของ คริสโตเฟอร์ โรบิน ที่มาของตัวละครในเรื่อง วินนี่เดอะพูห์ ลูกหมี ตัวนี้เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของเด็ก ๆ ในกรุงลอนดอน รวมทั้ง คริสโตเฟอร์ โรบิน ลูกชายของ เอ.เอ.ไมล์น คริสโตเฟอร์ โรบิน มักจะมาหามันเป็นประจำ และเขาได้รับแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อ ตุ๊กตา เท็ดดี้แบร์ ของเขาว่า วินนี่ หรือ วินนี่เดอะพูห์ – Winnie the Pooh (ในตอนแรก ตุ๊กตาหมี ของ คริสโตเฟอร์ โรบิน ชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด) ส่วนชื่อ พูห์ มาจากชื่อของ หงส์ ที่อยู่ในบทกวีของ ไมล์น ที่เล่าเรื่องตอนที่เขาเป็นเด็ก พูห์ ใต้ต้นมิสเตอร์แซนเดอร์เอ.เอ.ไมล์น เขียนนิทานเกี่ยวกับ วินนี่เดอะพูห์ และลูกชายของเขาที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ โรบิน และเพื่อนของเขาในป่า 100 เอเคอร์ โดยใช้ตัวละครจาก ตุ๊กตา ของลูกชาย ได้แก่ อียอร์, พิกเล็ต, ทิกเกอร์, แก็งกา และ รู ส่วน ริบบิต และ เอาล์ ก็มาจากสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม เช่นเดียวกับ หงส์ ที่ชื่อว่า พูห์ ที่บ้านเกิดในชนบทของเขาในฟาร์ม คอตช์ฟอร์ด ในป่า แอชดาวน์, เมืองซัสเซ็กซ์ ที่มีเนื้อที่ 100 เอเคอร์ ได้เวลาของน้ำผึ้งอีกแล้ว หนังสือเรื่อง วินนี่เดอะพูห์ ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ Methuen เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 1926, บทกวีเรื่อง Now We are Six ตีพิมพ์ในปี 1927 และเรื่อง The House at Pooh Corner ในปี 1928 หนังสือทั้งสามเรื่องนี้ วาดภาพประกอบโดย อี.เอช. ชีพาร์ด ซึ่งทำให้หนังสือมีชีวิตชีวาและสวยงามเป็นอย่างมาก หนังสือเรื่องของ พูห์ ได้รับความนิยมทั้งจากคนวัยเด็ก หนุ่มสาว และผู้สูงอายุ และถูกแปลออกไปเป็นภาษาต่าง ๆ เกือบจะทุกภาษา ตัวเลขยอดขายเฉพาะที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Methuen สำนักพิมพ์เดียว จนถึงปี 1996 มีมากกว่า 20 ล้านเล่ม ยังไม่รวมฉบับที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Dutton ในแคนาดา และสหรัฐ หรือภาษาอื่น ๆ มากกว่า 25 ภาษาในโลก
หนังสือชุดของ พูห์ ยังเป็นชื่นชอบของลูกสาว วอลท์ ดิสนีย์ ราชาภาพยนตร์การ์ตูน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ วอล์ท ดิสนีย์ นำเรื่องของ พูห์ มาสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนในปี 1966. ปี 1977 ดิสนีย์นำเอาภาพยนตร์การ์ตูนขนาดยาวเรื่อง การผจญภัยหลายครั้งของวินนี่เดอะพูห์ (the Many Adventures of Winnie the Pooh) เป็นครั้งแรก. ปี 1993 บริษัท วอล์ทดิสนีย์ ยอมรับว่า หมีพูห์ เป็นเพียงตัวละครตัวเดียวที่แฟน ๆ นับล้านคนทั่วโลกหลงรัก นอกเหนือจาก มิกกี้เมาส์ ในปี 1996 หลังจากภาพยนต์การ์ตูน วินนี่เดอะพูห์ เรื่องที่สองออกมา เจ้าหมีสมองน้อย ๆ ตัวนี้ก็ได้รับการยอมรับว่ามันได้รับความนิยมมากว่าตัวละครใด ๆ ของ วอล์ทดิสนีย์ ปี 1997 สามปีหลังจากภาพยนต์เรื่อง การผจญภัยหลายครั้งของวินนี่เดอะพูห์ ออกฉาย ดิสนีย์ ก็ได้ฉายภาพยนต์การ์ตูนเรื่อง Pooh's Grand Adventure หรือ การผจญภัยครั้งใหญ่ของพูห์ ซึ่งถือว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซของ วอล์ทดิสนีย์ อีกชิ้นหนึ่ง
อะนั่นแน่อย่าลืมเพื่อนๆของพูห์สิ
Tigger
Tigger เสือที่ใช้หางของตัวเองกระโดดไปไหนมาไหนได้เหมือนกับสปริง ในตัวของ Tigger เต็มไปด้วยความสนุกสนานอย่างที่สุด เขามักจะแชร์ความสนุกกับเพื่อนของเขาเสมอ แต่ยกเว้นกับ Rabbit ที่เขาไม่ค่อยอยากจะสนุกด้วย Tigger เป็นเสือที่ชอบใช้คำพูดที่ผิดๆโอ้อวดพูดอะไรเกินจริง เป็นตัวป่วนที่สุดในหมู่เพื่อนชอบทำตัวเป็นผู้รู้และชอบเป็นนักสืบ
Piglet
พิกเลต เป็นหมูสีชมพูตัวเล็ก ( ถ้าไม่บอกก็คงไม้รู้ว่าเป็นหมู ) อาจเป็นเพราะว่ามันตัวเล็ก มันจึงขี้ขลาด ขี้กลัว แต่มันจะอุ่นใจและมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อมีพูห์มาอยู่ใกล้ๆ อย่างตอนนี้ พิกเลตเจอะเฮฟฟาลัมป์ วันหนึ่งคริสโตเฟอร์ โรบิน กับวินนี่เดอะพูห์ กับพิกเลตกำลังคุยกัน และนั่งกินอะไรซักอย่างด้วยกัน กลางป่า 100 เอเคอร์อยู่ คริสโตเฟอร์ โรบินอวดว่าวันนี้ได้เจอเฮฟฟาลัมป์ตัวหนึ่ง ส่วนพูห์และพิกเลตก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเคยเจอหรือเปล่าเพราะไม่รู้ว่าเฮฟฟาลัมป์เนี่ยหน้าตามันเป็นยังไง ระหว่างทางกลับบ้านพูห์กับพิกเลตวางแผนจะจับเฮฟฟาลัมป์กัน โดยพิกเลตเป็นขุดหลุมทำกับดัก แล้วพูห์ก็จะหาอะไรซักอย่างมาล่อ มันจึงกลับบ้านแล้วไปค้นอะไรบางอย่างในตู้ มันตกลงใจเอาน้ำผึ้งสักโถหนึ่ง...แล้วมันก็เดินตุ้บตั้บหอบโถน้ำผึ้งไปหาพิกเลต พิกเลตขุดหลุมซะลึกเชียว... หลังจากวางกับดักเสร็จ พูห์กับพิกเลตก็กลับไปนอน แต่พูห์ก็นอนไม่หลับซักที นับแกะก็แล้ว แต่เฮฟฟาลัมป์ก็โผล่มาทุกที พูห์ทนไม่ได้ต้องหาอะไรใส่ท้องซักหน่อยเผื่อมันจะนอนหลับสบายก็ได้ เฮ้! ก็โถน้ำผึ้งของพูห์อยู่ในหลุมเฮฟฟาลัมป์ พูห์ตามความหิวไปที่หลุมดัก มันกินไปอย่างเอร็ดอร่อย เลียจนถึงก้นโถ โอ๊ะ! มันเอาหัวยัดเข้าไปในโถแล้ว...แล้วดึงออกไม่ได้ พิกเลตตกใจตื่นขึ้นมาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ พอไปถึงที่ปากหลุมมันยิ่งแน่ใจว่าเป็นเฮฟฟาลัมป์แน่นอน พิกเลตจึงบึ่งไปหาคริสโตเฟอร์ โรบิน คริสโตเฟอร์ โรบินผู้มีสติดีที่สุดก็เป็นผู้เฉลยและช่วย เจ้าเฮฟฟาลัมป์ตัวนั้นออกมา.
อียอร์ ลาแก่สีเทามักยืนอยุ่ตามลำพัง ที่ใต้ต้นไม้ข้างลำธารแล้วมันก็คิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยๆ วันหนึ่งพูห์เดินแวะมาทักทายมัน เอ๊ะ! พูห์แปลกใจ...เกิดอะไรขึ้นกับหางของอียอร์ หางอียอร์หายไปไหน อียอร์หมุนดุรอบตัวท่าทางหางมันจะไม่อยู่จริงๆ ด้วย ทำไงดีล่ะ พูห์จึงตกลงใจจะหาหางให้อียอร์เอง พูห์เริ่มจากไปปรึกษาอาวล์ ที่หน้าประตูบ้านอาวล์มีทั้งที่เคาะประตูและสายกระดิ่งให้ดึง ใต้ที่เคาะประตูมีข้อความว่า "กะรุณาดึงกะดิ่งถ้าต้องการให้มาเปออิด" และะที่ใต้สายกระดิ่งมีข้อความเขียนว่า "กะรุนาเคะาถ้าไม่ต้องการให้มาเปอด" ซึ่งผู้เขียนป้ายนั้นก็คือ คริสโตเฟอร์ โรบิน พูห์อ่านข้อความอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วมันก็ตัดสินใจทั้งดึงและเคาะพร้อมกับตะโกนด้วย มันปรึกษากับอาวล์เล็กน้อยถึงวิธีการหาหางของอียอร์ แล้วมันก็คิดว่าถึงเวลาหม่ำอะไรเล็กๆ น้อยๆ อาวล์อวดที่เคาะประตูอันใหม่ มันเล่าว่ามันได้มาจากที่พุ่มไม้ในป่า ดุเหมือนจะไมมีใครต้องการมัน แต่พูห์ว่ามันคุ้นๆ อยู่นะ เอ...มีคนต้องการมันด้วย มันคือหางของอียอร์ไง หลังจากคริสโตเฟอร์ โรบินตอกตะปูติดหางอียอร์กลับเข้าที่เดิม อียอร์ดีใจกระโดดโลดเต้นไปทั่วป่า และหลังจากพูห์ หาอะไรหม่ำเล็กๆ น้อยๆ แล้วมันก็ร้องเพลงเป็นทำนองที่ว่ามันหาหางอียอร์เจอ
Credit :: http://www.galaxzydvd.com/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)